Web Blog การเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ในการฝึกทักษะเรียนรู้พื้นฐาน การจัดการความรู้ ทักษะภาษาดิจิตอล ทักษะการรู้คิดประดิษฐ์สร้าง ทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารที่มีประสิทธิผล เพื่อพัฒนาไปสู่ทักษะความรู้ที่มุ่งหวังของหลักสูตร โรงเรียนมาตรฐานสากล 6 ประการ ประกอบด้วย (1) ทักษะการเรียนรู้ Learning Skills (2) ทักษะการคิด Thinking Skills (3) ทักษะการแก้ปัญหา Problerm Skills (4) ทักษะชีวิต Life Skills (5) ทักษะการใช้เทคโนโลยี Technology Skills (6) ทักษะการสื่อสาร Communication Skills โดยใช้ทฤษฎีระบบการเรียน KM (Knowlead Maneagement) ตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับ Gooogle App For Education Thai และวิสัยทัศน์กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด (Word Class Standard)

ภาพเคลื่อนไหว

ประวัติศาสตร์ชาติไทย

ข่าว1

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

เมดูซ่า (Medusa)



เมดูซ่า (Medusa)





ตามตำนานกรีก เมดูซ่า (Medusa) คือ ผู้หญิงที่มีหน้าตาสวยงามมาก และเป็นหญิงสาวที่มีผมเป็นงู ความร้ายกาจของเมดูซ่าถูกเล่าขานกันมาว่า หากมีใครจ้องมองที่ตาของเธอ บุคคลผู้นั้นจะกลายเป็นหินในทันที
ประวัติความเป็นมาของเมดูซ่า กล่าวไว้ว่า เธอเป็นหนึ่งในลูกสาวสามคนของเมทิส เจ้าแห่งสติปัญญาและสามารถแปลงกายเป็นสิ่งต่างๆได้มากมาย เดิมทีแล้ว ลูกทั้งสามของเมทิสล้วนมีใบหน้าที่สวยงามมากทุกคน แต่เมื่อวันหนึ่งเมื่อเมทิสถูกเทพซุส (Zeus) ข่มขืนรังแกและกลืนกินลงท้องไป โดยซุสหวังที่จะได้ใช้สติปัญญาและความสามารถในการแปลงร่างของเมทิสมาเพิ่มพลังอำนาจให้แก่ตนเอง ซึ่งการมีพลังดังกล่าวย่อมทำให้ซุสกลายเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่และหาใครเทียบฝีมือได้ยาก
เทพธิดาอาเธน่า (Athena) ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างแปลกประหลาด ซึ่งนางกำเนิดมาจากการพลังอำนาจของเมทิสที่ล้นทะลักออกมาจากหน้าผากของเทพซุส เมื่อเธอได้เกิดขึ้นมาแล้ว เธอก็เติบโตขึ้นพร้อมกับความสามารถทางสติปัญญาเหมือนอย่างเมทิสผู้เป็นแม่ และอาเธน่าก็ถือเอาเมดูซ่าเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดของแม่ด้วย แม้ว่าเมดูซ่าจะกลายเป็นศัตรูคนสำคัญของเธอในเวลาต่อมา
เมื่อเมดูซ่าเติบใหญ่ เธอก็กลายเป็นสาวงามที่มีชายมากมายหมายปองหลงรัก เมดูซ่าได้เดินทางไปบูชาเทพอาเธน่ายังวิหารของเธอ และที่นั่นเมดูซ่าก็ได้พบกับเทพโพไซดอน (Poseidon) ซึ่งแลเห็นว่าเมดูซ่ามีหน้าตาที่สวยงามเป็นอย่างมาก จึงเกิดการหลงรักและต้องการจะครอบครองมาเป็นสมบัติของตน เทพโพไซดอนจึงขืนใจเมดูซ่า เมื่ออาเธน่าเห็นดังนั้นก็ได้ทีจึงใส่ความเมดูซ่าว่แอบไปลบหลู่อาเธน่าในวิหารศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจึงสาบเมดูซ่าให้กลายเป็นมารร้ายที่มีหน้าตาน่าเกลียดน่าชังแทน ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังสาบให้ผมของเมดูซ่าที่เคยสวยงามกลายเป็นงูแทน
เมดูซ่ารู้สึกอับอาย และโกรธแค้นอาเธน่าเป็นอย่างมากที่ทำให้เธอเป็นเช่นนี้ เมดูซ่าจึงใช้ความโกรธแค้นนี้มาเป็นพลังในการสาบบุคคลที่เผลอมามองหน้าเธอให้แข็งเป็นหินไป เพื่อเป็นการล้างความแค้นที่ทำให้เธอต้องกลายมาเป็นเช่นนี้ ซึ่งเหตุผลนี้เองที่ทำให้เมดูซ่ากลายเป็นนางมารที่ร้ายที่สุดในตำนานกรีก
ในที่สุด เมดูซ่าก็ตายด้วยฝีมือของเพอร์ซีอุส โดยเมดูซ่าถูกเพอร์เซอุสใช้ดาบฟันที่คอจนขาด ซึ่งการตายของเมดูซ่าครั้งนี้ก็มีอาเธน่าเป็นผู้วางแผนเรื่องราวทั้งหมดนั่นเอง ซึ่งการที่อาเธน่าสั่งให้เพอร์เซอุสไปทำร้ายเมดูซ่าจนถึงแก่ความตายแทนตนเองนั้น ก็เป็นเพราะอาเธน่าไม่อยากให้มือของตัวเองเปื้อนเลือดไปมากกว่าเดิมนั่นเอง
เพิ่มเติม
แม้ว่า เมดูซ่า จะเป็นนางมารร้ายที่มีผมบนศีรษะเป็นงู แต่ความจริงแล้ว คำว่า เมดูซ่า (Medusa) เป็นคำที่มีรากศัพท์โบราณอยู่ในหลายๆภาษา โดยในภาษาสันสกฤต คือ เมธาในภาษากรีก คือ Metis และในภาษาอียิปต์โบราณคือ “Met หรือ Maat”
เมดูซ่ามีแหล่งกำเนิดมาจากตำนานในประเทศลิเบีย แต่ภายหลังได้มีการนำมาผูกเรื่องไว้กับตำนานกรีก เมดูซ่าได้รับการยกย่องนับถือจากชาวลิเบียโบราณว่าเป็น เทพแห่งงู หรือ เป็นเจ้าป่าเจ้าเขาผู้มีอำนาจดุร้าย ส่วนยุโรปในสมัยยุคหินโบราณ ยังไม่ถือว่า งูเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจที่อยู่เหนือธรรมชาติต่างหาก นอกจากนี้ ยังบอกได้ว่า เมดูซ่าถือเจ้าแม่ผู้ทรงพลังจากสังคมโบราณ ที่ชาวอินเดียนำไปเชื่อมโยงกับ เจ้าแม่ทุรคา หรือ เจ้าแม่กาลี
หลายพันหลายหมื่นปีมาแล้ว เมดูซ่าถือเป็นเจ้าป่าเจ้าเขา ที่มีพลังอำนาจอันสูงส่ง ผมหยิกบนหัวของเมดูซ่าถูกถักเป็นเปียเล็กๆทั่วทั้งหัว ที่เรียกว่า dreadlocks ตามแบบฉบับของชาวแอฟริกัน ทำให้มองดูคล้ายงู
ในสังคมดึกดำบรรพ์ ผู้หญิงเป็นเพศที่ถูกยกย่องนับถือให้เป็นใหญ่ แต่ภายหลังมานี้ สังคมกลับเปลี่ยนให้ผู้ชายกลายมาเป็นใหญ่แทน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ภาพพจน์ของ เมดูซ่า ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เพราะมีเทพบุรุษเข้ามามีบทบาททดแทนเทพสตรี
กล่าวถึงสังคมของอาณาจักรกรีกในช่วงพันปีแรกล่วงเลยมาถึงประมาณ 600 ปีก่อนคริสตศตวรรษ เมดูซ่าถูกทำลายอำนาจลงจนไม่มีใครนับถืออีกต่อไป และชาวกรีกก็สร้างตำนานให้เมดูซ่ากลายไปเป็นนางมารร้ายในที่สุด ชื่อของเมดูซ่าหลงเหลืออยู่แค่เพียงตำนานแห่งความพ่ายแพ้ที่นางถูกสังหารชีวิตโดยเพอร์ซีอุส ชาวกรีกถ่ายทอดพลังอำนาจที่เคยสูงส่งของเมดูซ่ามาให้แก่เทพอาธีน่า ผู้เป็นตัวอย่างที่ดีของสังคมแทน โดยชาวกรีกใช้เทพอาธีน่าเป็นแบบอย่างในการรักษาพรหมจรรย์ของสตรี การรับใช้ครอบครัว การยึดมั่นในความสัตย์สุจริต และการภักดีต่อเทพเซอุสผู้เป็นพระบิดา
ตำนานกรีกเล่าไว้ว่า เมทิสผู้เป็นแม่ของเมดูซ่าและพี่น้องอีกสองคน ความงามของเมดูซ่าและพี่สาวในแต่เดิมนั้นถือว่าสูงกว่าหญิงใดเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเมทิสถูกเทพเซอุสข่มขืนและกลืนลงท้องไป ทำให้เซอุสได้รับสติปัญญาและความสามารถในการแปลงร่างของเมทิสมาเพิ่มพลังอำนาจให้แก่ตนเอง ซึ่งการมีพลังดังกล่าวย่อมทำให้เซอุสกลายเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ หาใครเทียบฝีมือได้ยาก และทำให้สตรีมากมายตกมาเป็นภรรยาของเขาในภายหลัง ด้วยพลังอันมากมายของเมทิส ทำให้เทพธิดาอาธีน่าถูกสำลักออกทางหน้าผากของเซอุส และได้รับมรดกทางปัญญามากแม่มามากมาย ส่วนเมดูซ่าเป็นเพียงผู้เดียวในบรรดาพี่น้องร่วมท้องแม่ของเธอที่เป็นมนุษย์ และด้วยความที่เมดูซ่าและอาธีน่าเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาตลอด และเมดูซ่าก็มีสถานะเป็นเทพที่ฆ่าไม่ตาย อาธีน่าจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อหวังจะทำลายล้างเมดูซ่า
จนวันหนึ่ง ณ วิหารอาธีน่า ซึ่งมีเทพอาธีน่าเป็นเทพอุปถัมภ์ของสตรีพรหมจารี เมดูซ่าได้ไปบูชาที่วิหารแห่งนี้ตามปกติ แต่ด้วยความงามของเมดูซ่า ทำให้มีชายมากมายหวังจะครอบครองกายเธอ รวมไปเทพโพไซดอนที่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน เทพโพไซดอนได้รับรู้ถึงความงามของเมดูซ่าและต้องการจะขืนใจ อาธีน่าจึงอาศัยโอกาสใส่ความเมดูซ่าว่านางเมดูซ่าแอบสู่สมกันในวิหารศักดิ์สิทธิ์ แล้วฉวยโอกาสสาบเมดูซ่าให้กลายเป็นนางมารร้ายที่มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว และสาปให้ผมเปลี่ยนเป็นงูเต็มหัว นางเมดูซ่าที่เคยเป็นสาวงามจึงต้องกลายร่างมาเป็นนางมารร้ายแสนอัปลักษณ์ ทำให้นางเกิดความชอกช้ำ อับอาย และแค้นเคืองเป็นอย่างมาก จึงนำเอาความปวดร้าวครั้งนี้มาแปรเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้นชิงชัง และทำร้ายทุกคนที่ขวางหน้าโดยการสาบให้ทุกคนที่มองหน้ากลายร่างเป็นหิน เพื่อเป็นสัญญาณตอบโต้ความอยุติธรรม ด้วยชะตากรรมอันแสนโหดร้ายที่เมดูซ่าต้องเผชิญ ทำให้นางกลายไปเป็นนางมารร้ายที่น่าเกรงกลัวและมีผู้กล่าวขวัญถึงมากที่สุด ในตำนานกรีกจึงมีทั้งภาพวาด ภาพสลัก หรือรูปปั้นต่างๆของเมดูซ่าที่นิยมมีไว้ตามวิหารต่างๆ
ส่วนผู้ที่ทำการสังหารเมดูซ่า ก็คือ เพอร์เซอุส เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเพอร์ซีอุสตกหลุมรักโพลีเดคเทส ทำให้ต้องออกตามล่าตัดหัวเมดูซ่า เพื่อให้ได้มาตามสัญญาที่ให้ไว้แก่เทพอาธีน่า ที่คิดจะหาทางกำจัดเมดูซ่าให้พ้นทาง เนื่องจากนางอาธีน่าเป็นเทพ จึงไม่สามารถไปแสดงอำนาจในทางที่ผิดเพื่อสังหารผู้อื่นได้ นางจึงจำเป็นต้องอาศัยมือของผู้อื่นในการสังหารเมดูซ่าที่เป็นพี่น้องของตน
นางอาธีน่าเฝ้าการปรากฎตัวของเพอร์ซีอุสมานานแล้ว เพราะว่าจะใครคนไหนก็ไม่อาจจะปราบเมดูซ่าได้เลยแถมยังต้องแข็งตายเป็นหินกันทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อได้พบกับเพอร์ซีอุส  อาธีน่าก็วางแผนทุกอย่างให้เป็นไปตามความต้องการของตน โดยอาธีน่าได้บอกทางแก่เพอร์ซีอุสให้ไปยังซามอสซึ่งเป็นที่พักของนางกอร์กอนสามพี่น้อง พร้อมทั้งได้ประทานโล่ห์ที่มีลักษณะเป็นมันเงาเหมือนกระจก และให้ภาพปรากฏของนางมารทั้งสาม เพื่อให้เพอร์ซีอุสทราบได้ก่อนว่าหน้าตาของศัตรูเป็นอย่างไร และยังกำชับแก่เพอร์ซีอุสไม่ให้เขามองหน้าเมดูซ่าตรงๆ เพราะจะถูกนางสาบให้กลายเป็นหินไปได้  จากนั้น อาธีน่าก็ให้อนุชาที่ชื่อ เทพเฮอร์มีส (เมอร์คิวรี่) ซึ่งก็เป็นเทพบุตรของ เซอุสอีกผู้หนึ่ง ไปนำอาวุธที่เป็นดาบโค้งของโครนัสมาให้เพอร์ซีอุส เพื่อจะนำเอาอาวุธนี้ไปทำการสังหารเมดูซ่า แต่เพอร์ซีอุสก็ยังต้องอาศัยของวิเศษอื่นๆอีก เพื่อที่จะทำให้ปฏิบัติการที่วางแผนไว้สำเร็จเสร็จสิ้นไปได้ อาธีน่า จึงช่วยอธิบายรายละเอียด และแนะนำให้เพอร์ซีอุสไปตามหานางแม่มดสามพี่น้องแห่งเกรยี ซึ่งท่านเป็นแม่เฒ่ามาตั้งแต่เกิด นางทั้งสามมีตาร่วมกันเพียงดวงเดียว อีกทั้งยังมีฟันเพียงซี่เดียวด้วย ทำให้ทั้งสามจำเป็นต้องแบ่งอวัยวะเหล่านี้ร่วมกันใช้ และเกิดการทะเลาะตบตีเพื่อแย่งอวัยวะอันแสนมีค่าเหล่านี้กันมาตลอดชีวิต เพอร์ซีอุสอาศัยความขัดแย้งระหว่างสามพี่น้องนี้ เข้าไปขโมยดวงตาและฟันของพวกแม่มดเกรยีออกมา จากนั้นก็บังคับให้นางทั้งสามบอกทางไปหานางนิ้มฟ์ผู้ใจดีแห่งอุตรทิศ ซึ่งหากนางยอมบอก เขาจะยอมคืนตาและฟันให้ หลังจากที่เพอร์ซีอุสรู้แล้วว่าจะต้องเดินทางไปทางไหนเพื่อไปหานางนิมฟ์ผู้ใจดี เขาจึงสามารถขอยืมรองเท้าติดปีกที่ช่วยให้สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ พร้อมกับหมวกวิเศษที่สามารถล่องหนไปได้ในทุกที่ รวมไปถึงกระเป๋าวิเศษ ที่ใช้สำหรับเก็บหัวเมดูซ่ากลับมา

เมื่อเพอร์ซีอุสได้ของวิเศษต่างๆจนครบแล้ว เพอร์ซีอุสก็เริ่มเดินทางเข้าไปยังถ้ำของนางมารกอร์กอนสามพี่น้อง เมื่อไปถึงที่นั่น ก็พบว่า เมดูซ่ากำลังนอนหลับอยู่กับพี่สาวทั้งสองอยู่ เพอร์ซีอุสได้บอกให้อาธีน่าช่วยถือโล่ห์ให้แก่ตน ทำให้เพอร์ซีอุสสามารถมองเมดูซ่าจากภาพเงาในโล่ห์มันวับได้อย่างถนัด ทำให้เพอร์ซีอุสสามารถตัดหัวเมดูซ่าได้อย่างสำเร็จ หลังจากตัวหัวจนขาดแล้ว เพอร์ซีอุสก็เก็บหัวเมดูซ่าใส่ถุงวิเศษทันที เลือดที่ไหลออกมาจากคอของเมดูซ่า เป็นต้นกำเนิดของสัตว์วิเศษที่มีลักษณะเป็นม้ามีปีก ที่เรียกว่า เพกาซัส

หลังจากโดนสังหาร เมดูซ่าก็จบสิ้นความทุกข์ทรมานจากการต้องเผชิญหน้ากับชีวิตอันแสนโหดร้ายของเธออีกต่อไป และยังส่งผลให้เพอร์ซีอุสกลายไปเป็นวีรบุรุษผู้ปราบมาร ที่ชาวกรีกนับถือเป็นอย่างมาก




วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

“พุหางนาค” สวนหิน 500 ล้านปี 


“พุหางนาค” สวนหิน 500 ล้านปี 
กับ “อาคารหินเรียงปริศนา” ที่เมืองอู่ทอง
------------------------------------------------------------------------
........การค้นพบร่องรอยของอาคารหินเรียงซ้อนจำนวนมากกว่า 20 จุดบนยอดของแนวเขา ที่เป็นทิวขนานกับตัวเมืองโบราณอู่ทองตามแนวยาวทิศเหนือ-ใต้ ทางทิศตะวันตก 
........เริ่มต้นจากเขาทุ่งดินดำ เขาวง เขาทอก เขาพุทอง ในเขตตำบลบ้านโข้งทางทิศเหนือ เขาดีสลัก ตำบลดอนคา เขากำแพง เขาตาเก้า เขาแก้ว เขาตะแบง ตำบลหนองโอ่ง ลงมายังเขาพระยาแมน พุหางนาค เขาทำ(คำ)เทียม เขารางกะปิด เขาคอก พุม่วงและเขาถ้ำเสือ ในเขตตำบลอู่ทองทางทิศใต้ 
........ซึ่งบนภูเขาเกือบทุกลูกก็เคยมีการค้นพบร่องรอยหลักฐานของสิ่งก่อสร้างเก่าแก่และวัตถุโบราณทับซ้อนในแต่ละยุคสมัยกระจายตัวอยู่โดยทั่วไปตลอดแนวเทือกเขาอยู่แล้ว
-------------------------------------------------------------------
........แผนที่แสดงร่องรอยโบราณสถานรอบเมืองโบราณรูปวงกลมอู่ทอง
และจุดที่พบอาคารหินเรียงบนเทือกเขาทางทิศตะวันตกของแม่น้ำจระเข้สามพัน
Kru chanvit

https://z-1-scontent-kul1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xaf1/v/t1.0-9/https://z-1-scontent-kul1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xal1/v/t1.0-9/
https://z-1-scontent-kul1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xfa1/v/t1.0-9/https://z-1-scontent-kul1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xpf1/v/t1.0-9/



วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

ละครเวที




ละครเวที (play หรือ stageplay)ละครเพลงซึ่งเน้นการร้องมากกว่า 
 
คาดกันว่าละครเวทีมีมาตั้งแต่สมัยกรีก อริสโตเติลบันทึกไว้ว่าละครของกรีก เริ่มต้นขึ้นจากการกล่าวคำบูชาเทพเจ้าไดโอนีซุส เทพเจ้าแห่งไวน์และความอุดมสมบูรณ์
จุดเด่นของละครเวทีคือ การสื่อสารระหว่างผู้ชมกับนักแสดง การสื่อสารระหว่างผู้ชมและนักแสดงเกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กัน วอลเตอร์ เคอร์ นักวิจารณ์ชาวอเมริกันพูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า "ความสัมพันธ์ระหว่างคนดูกับนักแสดงเช่นนี้ไม่มีในภาพยนตร์ เพราะภาพยนตร์เป็นสิ่งที่สร้างมาสำเร็จรูปแล้ว มันไม่สามารถตอบสนองเราได้ เพราะนักแสดงในภาพยนตร์ไม่สามารถได้ยินเรา รู้สึกถึงตัวตนของเราและไม่ว่าเราจะมีปฏิกิริยาอย่างไรก็ไม่มีผลใดๆ"
 

(ภาพวาด การแสดงละครเวทีเรื่อง Romeo and Juliet)

องค์ประกอบของละครเวที คือ การแสดงสดบนเวที ที่มีฉาก แสง เสียง ประกอบ และบทละคร คือ ส่วนที่สำคัญที่สุดในการทำละครทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งละครเวที เพราะมันคือ ตัวกำหนดองค์ประกอบอื่นๆ ทุกอย่างในละคร ไม่ว่าจะเป็น โครงของเรื่อง ,สีสันของแสง ของฉาก ของเสื้อผ้า และรวมไปถึงการแสดง (acting) ของนักแสดงด้วย

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

จังหวัดร้อยเอ็ด



จังหวัดร้อยเอ็ด




“สิบเอ็ดประตูเมืองงาม เรืองนามพระสูงใหญ่ ผ้าไหมสาเกต บุญผะเหวดประเพณี มหาเจดีย์ชัยมงคล งามน่ายลบึงพลาญชัย เขตกว้างไกลทุ่งกุลาโลกลือชาข้าวหอมมะลิ”

ข้อมูลทั่วไป
ชื่ออักษรไทย   ร้อยเอ็ด
ชื่ออักษรโรมัน Roi Et
ผู้ว่าราชการ     นายพงษ์ศิริ กุสุมภ์ (ตั้งแต่ พ.ศ. 2551)
ต้นไม้ประจำจังหวัด    กระบก
ดอกไม้ประจำจังหวัด  อินทนิลบก
พื้นที่    8,299.46 ตร.กม. (อันดับที่ 23)
ประชากร  1,307,212 คน (พ.ศ. 2551) (อันดับที่ 12)
ความหนาแน่น     157.51 คน/ตร.กม. (อันดับที่ 24)

ร้อยเอ็ด เป็นจังหวัดในบริเวณลุ่มแม่น้ำชีในภาคอีสานของไทย ที่อดีตเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยปรากฏชื่อในตำนานอุรังคธาตุว่า สาเกตนคร หรือ เมืองร้อยเอ็จประตู อันเนื่องมาจากเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองขนาดที่มีเมืองขึ้นมากถึงสิบเอ็ดเมือง แต่จำนวนสิบเอ็ดในสมัยโบราณนั้นประกอบด้วยเลขสิบและเลขหนึ่ง (101) ชื่อเมืองจึงถูกเรียกว่าเมืองร้อยเอ็ดจนทุกวันนี้
ประเด็นเรื่อง 11 หัวเมือง ยังมีนักค้นคว้าอิสระชื่อว่า นายสุวัฒน์ ลีขจร ได้โต้แย้งว่า ความเชื่อที่ว่าร้อยเอ็ดคือ 10+1 น่าจะเป็นสมมุติฐานที่คลาดเคลื่อน เพราะจากการตรวจสอบข้อความตัวอักษรธรรมในต้นฉบับใบลานเรื่องอุรังคธาตุปรากฏว่า ไม่ได้มีจุดไหนที่เขียนชื่อเมืองร้อยเอ็ดเป็นตัวเลขแม้แต่จุดเดียว และพบว่ามีการเขียนถึงร้อยเอ็ดเป็นตัวอักษรทุกจุด (มีทั้งหมด 59 จุด) ดังนั้นจึงคาดว่า ชื่อเมืองร้อยเอ็ดน่าจะเป็นความหมายเชิงอุปมาอุปไมยมากกว่า โดยสื่อความหมายว่าเป็นเมืองยิ่งใหญ่มีเมืองบริวารมากจนนับไม่ถ้วน

ประวัติศาสตร์


สมัยก่อนประวัติศาสตร์
มีการพบหลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์กระจายอยู่ทั่วไปในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด ได้ขุดพบแหล่งโบราณคดีบ้านเมืองบัวซึ่งสันนิษฐานว่า ชุมชนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ค้นพบมีอายุประมาณ 1,800-2,500 ปีมาแล้ว และมักมีถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มน้ำกับใกล้แหล่งเกลือสินเธาว์ อิทธิพลของพุทธศาสนาภายใต้วัฒนธรรมทวารวดีได้เข้ามาเมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 12-15 มีหลักฐานสมัยทวารวดีที่สำคัญ เช่น คูเมืองร้อยเอ็ด เจดีย์เมืองหงส์ในเขตอำเภอจตุรพักตรพิมาน กลุ่มใบเสมาบริเวณหนองศิลาเลขในเขตอำเภอพนมไพร และพระพิมพ์ดินเผาปางนาคปรกที่เมืองไพรในเขตอำเภอเสลภูมิ
วัฒนธรรมจากอาณาจักรขอมได้แพร่เข้ามาในพุทธศตวรรษที่ 16 ปรากฏหลักฐานอยู่มาก เช่น สถาปัตยกรรมในรูปแบบของปราสาทหิน เช่น กู่กาสิงห์ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย ปรางค์กู่ในเขตอำเภอธวัชบุรี กู่พระโกนาในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ และประติมากรรมที่เป็นรูปเคารพทางศาสนาที่เป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่ทำจากหินทรายและโลหะเป็นจำนวนมาก

สมัยทวารวดี
การตั้งถิ่นฐานของชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ได้ต่อเนื่องมาถึงสมัยทวารวดีซึ่งเป็นวัฒนธรรมในพระพุทธศาสนา เมืองที่สร้างขึ้นมีรูปร่างและที่ตั้งไม่แน่นอน แต่มีลักษณะที่สำคัญคือ มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบชุมชน ร่องรอยที่ยังเห็นอยู่ของคูเมืองและคันดินได้แก่บริเวณด้านตะวันออกของวัดบูรพาภิราม ด้านใต้ของเมืองบริเวณโรงเรียนสตรีศึกษา นอกจากนี้ยังพบอยู่ในอำเภอต่าง ๆ ของร้อยเอ็ด ได้แก่ บ้านเมืองไพร (เขตอำเภอเสลภูมิ) บ้านเมืองหงส์ (เขตอำเภอจตุรพักตรพิมาน) บ้านสีแก้ว (เขตอำเภอเมืองร้อยเอ็ด) หนองศิลาเลข บ้านชะโด (เขตอำเภอพนมไพร) และบ้านดงสิงห์ (เขตอำเภอจังหาร)

 สมัยลพบุรี
ได้พบโบราณสถานและโบราณวัตถุสมัยลพบุรีหรือละโว้ที่เป็นที่รู้จักดี ได้แก่ ปราสาทหินกู่กาสิงห์ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย กู่พระโกนาในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ ปรางค์กู่ในเขตอำเภอธวัชบุรี กู่โพนระฆัง กู่โพนวิท กู่บ้านเมืองบัวในเขตอำเภอเกษตรวิสัย กู่คันทนามในเขตอำเภอโพนทราย สำหรับโบราณวัตถุ ได้แก่ รูปเคารพและเครื่องมือเครื่องใช้ในศาสนา เช่นพระพุทธรูป เทวรูป ศิวลึงค์ ภาชนะดินเผา คันฉ่องสำริด กำไลสำริด เป็นต้น

 สมัยอาณาจักรล้านช้าง
ได้ปรากฏชื่อเมืองร้อยเอ็ดในเอกสารของลาวว่า พระเจ้าฟ้างุ้มเมื่อดำรงตำแหน่งเป็นบุตรเขยเมืองขอม ได้นำไพร่พลมารวมกำลังกันอยู่ที่เมืองร้อยเอ็ด ก่อนยกกำลังไปยึดเมืองเชียงทอง (หลวงพระบาง) ได้สำเร็จแล้วจึงได้สถาปนาอาณาจักรล้านช้างหลักฐานเกี่ยวกับเมืองร้อยเอ็ดขาดหายไปประมาณ 400 ปี จนถึงประมาณปี พ.ศ. 2231 เมืองเวียงจันทน์เกิดความไม่สงบ พระครูโพนสะเม็ดพร้อมผู้คนประมาณ 3,000 คนได้เชิญเจ้าหน่อกษัตริย์อพยพลงมาตามแม่น้ำโขง แล้วมาตั้งมั่นอยู่ที่บริเวณเมืองจำปาศักดิ์ ผู้ปกครองเมืองจำปาศักดิ์มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระครูโพนสะเม็ด จึงได้นิมนต์ให้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและปกครองเมืองจำปาศักดิ์ ต่อมาเจ้าหน่อกษัตริย์ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์พระนามว่า เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร ได้ขยายอิทธิพลไปในดินแดนต่าง ๆ เหนือสองฝั่งแม่น้ำโขง ได้ตั้งเมืองใหม่ขึ้นหลายแห่งและส่งบริวารไปปกครอง เช่น เมืองเชียงแตง เมืองสีทันดร เมืองรัตนบุรี เมืองคำทอง เมืองสาละวัน และเมืองอัตตะปือ เป็นต้น
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2256 เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรได้มอบหมายให้อาจารย์แก้วควบคุมไพร่พลประมาณ 3,000 คน มาสร้างเมืองขึ้นใหม่ในดินแดนอีสานตอนล่าง เรียกว่า เมืองท่ง ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ มีเจ้าเมืองต่อมาคือ ท้าวมืด ท้าวทน ท้าวเชียง และท้าวสูน

 สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์
ปี พ.ศ. 2256 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยากรมท่าและพระยาพรหมเดินทางมาดูแลหัวเมืองในภาคอีสาน ท้าวทนจึงได้เข้ามาขออ่อนน้อม พระยาทั้งสองจึงมีใบบอกไปยังกรุงธนบุรีขอตั้งท้าวทนเป็นเจ้าเมือง โดยยกบ้านกุ่มฮ้างขึ้นเป็น เมืองร้อยเอ็ด ตามนามเดิม ท้าวทนได้รับแต่งตั้งเป็นพระขัติยะวงษา นับว่าเป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนแรก ส่วนเมืองท่งนั้นบรรดากรมการเมืองเห็นว่าเป็นชัยภูมิที่ไม่เหมาะสม จึงได้ย้ายไปตั้งบริเวณดงท้าวสาร และให้ชื่อว่า เมืองสุวรรณภูมิ นับแต่นั้นมาทั้งเมืองร้อยเอ็ดและเมืองสุวรรณภูมิต่างมีฐานะขึ้นตรงต่อกรุงธนบุรีเช่นเดียวกัน
พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีแห่งใหม่ ทำให้เมืองร้อยเอ็ดและบรรดาหัวเมืองอีสานล้วนต้องขึ้นตรงต่อกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนเมืองร้อยเอ็ดก็ได้มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจนมีฐานะทางการเมืองและความสำคัญเหนือเมืองสุวรรณภูมิในเวลาต่อมา
พ.ศ. 2326 พระขัติยะวงษา (ทน) ถึงแก่กรรม ท้าวสีลังบุตรคนโตได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระขัติยะวงษา เจ้าเมืองร้อยเอ็ดสืบแทน ต่อมาในปี พ.ศ. 2369 เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ เมื่อกองทัพกบฎถูกตีแตกถอยร่นกลับมา กำลังทหารจากเมืองร้อยเอ็ดได้เข้าโจมตีซ้ำเติมจนพวกกบฎแตกพ่าย พระขัติยะวงษา (สีลัง) มีความดีความชอบได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาขัติยะวงษา
ในปี พ.ศ. 2418 เกิดสงครามปราบฮ่อที่เวียงจันทน์และหนองคาย เจ้าเมืองอุบลได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้ายกกำลังไปปราบ โดยเกณฑ์กำลังพลจากหัวเมืองตะวันออกเฉียงเหนือไปช่วยปราบกบฎ เมื่อกองทัพยกมาถึงเมืองร้อยเอ็ด พระขัติยะวงษา (สาร) และราชวงศ์ (เสือ) ได้สมทบกำลังไปปราบฮ่อด้วย เมื่อเสร็จศึก ราชวงศ์ (เสือ) ได้รับแต่งตั้งเป็นพระขัติยะวงษา
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูปการปกครองในระบบมณฑลเทศาภิบาล จึงให้รวมหัวเมืองอีสานเข้าด้วยกัน แล้วแบ่งออกเป็น 4 กองใหญ่ แต่ละกองมีข้าหลวงกำกับการปกครองกองละ 1 คน และมีข้าหลวงใหญ่กำกับราชการอีกชั้นหนึ่งอยู่ที่เมืองจำปาศักดิ์ กองใหญ่ทั้ง 4 กอง ได้แก่ หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ และหัวเมืองลาวฝ่ายกลาง เมืองร้อยเอ็ดเป็นหัวเมืองเอกในจำนวน 12 เมืองของหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ มีศูนย์การบริหารหัวเมืองอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี ในปี พ.ศ. 2437 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราระบบการปกครองเทศาภิบาลขึ้นใช้ปกครองส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ หัวเมืองลาวกาวจึงเปลี่ยนฐานะเป็นมณฑลลาวกาว ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ และมณฑลอีสานตามลำดับ
ในปี พ.ศ. 2450 เมืองร้อยเอ็ดได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นบริเวณร้อยเอ็ด โดยแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 5 เมือง คือเมืองร้อยเอ็ด เมืองสุวรรณภูมิ เมืองมหาสารคาม เมืองกมลาไสย และเมืองกาฬสินธุ์

ในปี พ.ศ. 2453 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรงเห็นด้วยกับข้อเสนอของเทศาภิบาลข้าหลวงมณฑลอีสานว่า ควรแยกมณฑลอีสานออกเป็น 2 มณฑล คือ มณฑลอุบลราชธานีและมณฑลร้อยเอ็ด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นไปตามที่เสนอ มณฑลร้อยเอ็ดจึงมีเขตปกครอง 3 จังหวัดคือ จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดกาฬสินธุ์
พ.ศ. 2465 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้รวมมณฑลร้อยเอ็ด มณฑลอุบล และมณฑลอุดร เป็นภาคเรียกว่า ภาคอีสาน มีอุปราชประจำภาคอยู่ที่เมืองอุดรธานี ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2468 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกภาคอีสาน แล้วปรับเปลี่ยนเป็นการปกครองระบบมณฑลตามเดิม ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2469 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยุบมณฑลร้อยเอ็ด มณฑลอุบล และมณฑลอุดร แล้วให้เปลี่ยนชื่อเป็นจังหวัด ขึ้นต่อมณฑลนครราชสีมา
ระหว่างปี พ.ศ. 2445-2455 ได้เกิดกบฎผีบุญขึ้นในจังหวัดร้อยเอ็ดอันมีสาเหตุมาจากการยกเลิกการปกครองแบบดั้งเดิม โดยยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง แล้วแต่งตั้งข้าราชการจากส่วนกลางไปปกครอง ทำให้เกิดการต่อต้านจากกลุ่มเจ้าเมืองเดิมและทายาท กบฎผีบุญเกิดขึ้นจากการมีผู้อ้างตัวเป็นผู้วิเศษตามท้องถิ่นต่าง ๆ ในภาคอีสาน ในที่สุดก็ถูกทางราชการปราบได้ราบคาบ
ในปี พ.ศ. 2469 อำมาตย์เอกพระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ (ทอง จันทรางศุ) ข้าหลวงจังหวัดร้อยเอ็ดเห็นว่า บึงพลาญชัย (เดิมใช้ว่าบึงพระลานชัย) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองร้อยเอ็ดตื้นเขิน ถ้าปล่อยทิ้งไว้บึงก็จะหมดสภาพไป จึงได้ชักชวนชาวบ้านจากทุกอำเภอมาขุดลอกบึงเพื่อให้มีน้ำขังอยู่ได้ตลอดปี ได้ดำเนินการขุดลอกบึงทั้งกลางวันและกลางคืนอยู่ 2 ปี มีชาวบ้านมาร่วมขุดลอกบึงถึง 40,000 คน นับว่าเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของไทยที่ควรจารึกไว้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกหลานไทยต่อไปชั่วกาลนาน ต่อมาก็ได้มีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจนเป็นมรดกที่สำคัญของจังหวัดร้อยเอ็ดมาตราบเท่าทุกวันนี้

ที่ตั้งและอาณาเขต
จังหวัดร้อยเอ็ดตั้งอยู่ตอนกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างละติจูดที่ 15 องศา 24 ลิปดาเหนือ ถึง 16 องศา 19 ลิปดาเหนือ และลองจิจูดที่ 103 องศา 16 ลิปดาตะวันออก ถึง 104 องศา 21 ลิปดาตะวันออก อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถยนต์ประมาณ 512 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งสิ้น 8,299.46 ตางรางกิโลเมตร หรือ 5,187,156 ไร่ มีเขตแดนติดต่อกับจังหวัดอื่น ๆ หลายจังหวัดดังนี้
·        ทิศเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือ จรดจังหวัดกาฬสินธุ์
·        ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จรดจังหวัดมุกดาหาร
·        ทิศตะวันออก จรดจังหวัดยโสธร
·        ทิศตะวันออกเฉียงใต้ จรด จังหวัดศรีสะเกษ
·        ทิศใต้ จรดจังหวัดสุรินทร์
·        ทิศตะวันตก จรดจังหวัดมหาสารคาม

 ลักษณะภูมิประเทศ
จังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นที่ราบสูง สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 120-160 เมตร มีภูเขาทางตอนเหนือซึ่งติดต่อจากเทือกเขาภูพาน บริเวณตอนกลางของจังหวัด มีลักษณะเป็นที่ราบลูกคลื่น บริเวณตอนล่างมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำมูลและสาขา ได้แก่ ได้แก่ลำน้ำชี ลำน้ำพลับพลา ลำน้ำเตา เป็นต้น บริเวณที่ราบต่ำอันกว้างขวาง เรียกว่าทุ่งกุลาร้องไห้ มีพื้นที่ประมาณ 80,000 ไร่ มีลักษณะเป็นที่ราบแอ่งกระทะ

การเมืองการปกครองและประชากร
การปกครองแบ่งออกเป็น 20 อำเภอ 193 ตำบล 2412 หมู่บ้าน มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3 รูปแบบ คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง เทศบาล 17 แห่ง (เทศบาลเมือง 1 แห่ง และเทศบาลตำบล 16 แห่ง) และองค์การบริหารส่วนตำบล 186 แห่ง มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 1,310,259 คน แยกเป็นชาย 654,508 คน หญิง 655,751 คน โดยมีอำเภอที่มีประชากรมากที่สุดได้แก่ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด 118,789 คน รองลงมาได้แก่ อำเภอเสลภูมิ มีจำนวน 108,063 คน และอำเภอสุวรรณภูมิ มีจำนวน 106,451 คน สำหรับอำเภอที่มีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุด คือ อำเภอจังหาร โดยมีอัตราความหนาแน่น 295 คนต่อตารางกิโลเมตร รองลงมาได้แก่ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด มีอัตราความหนาแน่น 240 คนต่อตารางกิโลเมตร และอำเภอเชียงขวัญมีอัตราความหนาแน่น 215 คนต่อตารางกิโลเมตร โดยอัตราความหนาแน่นโดยเฉลี่ยของจังหวัดอยู่ในระดับ 158 คนต่อตารางกิโลเมตร

โดยประชากรมีกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
·        กลุ่มไทย-ลาว เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองเดิม อาศัยทั่วไปในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด
·        กลุ่มไทย-เขมร เป็นคนที่อยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด แต่มีบรรพบุรุษที่มีเชื้อสายเขมร อยู่ในอำเภอสุวรรณภุมิ และเกษตรวิสัย
·        กลุ่มไทย-ส่วย เป็นคนที่อยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด มีเชื่อสายเป็นชาวส่วยหรือกูย อยู่บริเวณอำเภอสุวรรณภูมิและอำเภอโพนทราย ติดต่อกับจังหวัดศรีสะเกษ
·        กลุ่มภูไทหรือผู้ไทย เป็นกลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานในเขตอำเภอเมยวดี หนองพอก ซึ่งติดต่อกับจังหวัดกาฬสินธุ์ ยโสธร และมุกดาหาร
·        กลุ่มไทย้อ เป็นกลุ่มที่มีเชื้อสายมาจากแขวงคำมวน ประเทศลาว อาศัยอยู่ในเขตอำเภอโพธิ์ชัย
·        นอกจากนั้นยังมีกลุ่มคนอพยพเข้ามาอาศัยในจังหวัดร้อยเอ็ดในภายหลัง ได้แก่ กลุ่มไทย-จีน กลุ่มไทย-ยวน กลุ่มไทย-แขก

อำเภอเมืองร้อยเอ็ด
·        อำเภอเกษตรวิสัย
·        อำเภอปทุมรัตต์
·        อำเภอจตุรพักตรพิมาน
·        อำเภอธวัชบุรี
·        อำเภอพนมไพร
·        อำเภอโพนทอง
·        อำเภอโพธิ์ชัย
·        อำเภอหนองพอก
·        อำเภอเสลภูมิ
·        อำเภอสุวรรณภูมิ
·        อำเภอเมืองสรวง
·        อำเภอโพนทราย
·        อำเภออาจสามารถ
·        อำเภอเมยวดี
·        อำเภอศรีสมเด็จ
·        อำเภอจังหาร
·        อำเภอเชียงขวัญ
·        อำเภอหนองฮี

·        อำเภอทุ่งเขาหลวง