การจัดการความรู้
การศึกษาเรียนรู้ คือ การพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเจริญขึ้น ในรายวิชาประวัติศาสตร์ ส 23102 ได้กำหนดแนวทางในการพัฒนาตนเอง ไว้ 3 ด้าน โดยการใช้ทฤษฎีการเรียนรู้แบบ KM (การจัดการความรู้) เป้นแนวทางในการพัฒนา ประกอบด้วย การพัฒนาตนเอง 3 ด้านใหญ่ๆ คือ
1.พุทธิพิสัย (Cognitive Domain)
2.จิตพิสัย (Affective Domain)
3.ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain)
1.พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) เป็นจุดประสงค์ทางการศึกษาที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ทางด้านสติปัญญา คือความรู้ ความเข้าใจ การใช้ความคิด พุทธิพิสัยแบ่งออกเป็น 6 ระดับ คือ
1.ความรู้ หมายถึง ความสามารถในการจำแนกเนื้อหาความรู้ และระลึกได้เมื่อต้องการนำมาใช้
2.ความเข้าใจ หมายถึง การเข้าใจความหมายของเนื้อหาสาระ
3.การนำไปใช้ หมายถึง การนำเอาเนื้อหาสาระ หลักการ ความคิดรวบยอด และทฤษฎีต่างๆไปใช้ในรูปแบบใหม่
4.การวิเคราะห์หมายถึง ความสามารถในการแยกเนื้อหาให้เป็นส่วนย่อยเพื่อค้นหาองค์ประกอบ โครงสร้าง หรือความสัมพันธ์ในส่วนย่อยนั้น
5.การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถที่จะนำองค์ประกอบหรือส่วนย่อยๆนั้นเข้ามารวมกันเพื่อให้เป็นภาพที่สมบูรณ์เกิดความกระจ่างใสในสิ่งเหล่านั้น
6.การประเมินค่า หมายถึง ความสามารถในการพิจารณาคุณค่าของสิ่งต่างๆโดยผู้กำหนดตัดสินขึ้นมาเอง
2.จิตพิสัย (Affective Domain) เป็นจุดประสงค์ที่เกี่ยวกับความรู้สึกทางจิตใจ ซึ่งรวมถึงความสนใจ อารมณ์ เจตคติ ค่านิยมและคุณธรรม กระบวนการที่เกิดขึ้นภายในเหล่านี้จะเกิดตามลำดับขั้นตอนดังนี้
1.การรับ คือการที่นักเรียนได้รับประสบการณ์จากสิ่งแวดล้อม
2.การตอบสนอง คือการมีปฎิกิริยาโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อมที่รับเข้ามาด้วยความเต็มใจ
3.การเห็นคุณค่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังที่รับรู้สิ่งแวดล้อม และมีปฎิกิริยาโต้ตอบสังเกตได้จากพฤติกรรมที่ยมรับค่านิยมใดค่านิยมหนึ่ง
4.การจัดรวบรวมเป็นการพิจารณา และรวบรวมค่านิยมให้เข้าเป็นระบบค่านิยมหรือสร้างมโนทัศน์ของค่านิยม
5.การพิจรณาคุณลักษณะจากค่านิยม เป็นเรื่องของความประพฤติ คุณสมบัติ และคุณลักษณะของแต่ละบุคคลที่เป็นผลของความรู้สึก
3.ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นจุดประสงค์ ที่เกี่ยวกับทักษะในการเคลื่อนไหว และใช้อวัยวะต่างๆ ของร่างกายมีลำดับการพัฒนาดังนี้
1.การเลียนแบบ เป็นการทำตามัวอย่างที่ครูให้ หรือดูแบบจากของจริง
2.การทำตามคำบอก เป็นการทำตามตัวอย่างที่ครูให้
3.การทำอย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นการกระทำโดยนักเรียนอาศัยความรู้ที่เคยทำมาก่อนแล้วเพิ่มเติม
4.การทำถูกต้องหลากหลายรูปแบบ เป็นการกระทำในเรื่องคล้ายๆกันและแยกรูปแบบได้ถูกต้อง
5.การทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นการทำให้เกิดความชำนาญ และสำเร็จในเวลาที่รวดเร็ว
ประมวลความรู้
การจัดการความรู้ หมายถึง การจัดการเพื่อให้ได้ความรู้ใหม่ โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่จะทำให้ผู้เรียนที่มีความสามารถสูงหรือมีความได้เปรียบในการแข่งขัน
ความสำคัญในการจัดการความรู้
ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สภาพการแข่งขัน สภาพสังคม ความต้องการของสังคม เทคโนโลยี ความรู้ ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่เรียกว่า Speed base competition ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว และเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้เรียนต้องมีการจัดการความรู้
องค์ประกอบในการจัดการความรู้
People ผู้เรียน
Technology เทคโนโลยี นวัตกรรม
Knowledge Process กระบวนการจัดการความรู้
ประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดการความรู้
สร้างสมรรถนะให้กับผู้เรียน
สร้างนวัตกรรมด้านการเรียน และกระบวนการเรียนรู้
เกิดการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดี
เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา
ใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เพิ่มความสามารถในการตัดสินใจและการแก้ปัญหา
กระบวนการในการบริหารจัดการความรู้ของผู้เรียนประกอบด้วย การระบุความรู้ การคัดเลือก การรวบรวม การจัดระบบจัดเก็บความรู้ การเข้าถึงข้อมูล/ ความรู้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอก การเรียนรู้เพื่อยกระดับให้เป็นองค์ความรู้ใหม่ การสร้างบรรยากาศและวัฒนธรรมการเรียนรู้ในตนเอง การกำหนดแนววิธีปฏิบัติงาน ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการความรู้ในตนเองให้ดียิ่งขึ้น
บุคลแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) หมายถึง ผู้เรียนที่สามารถปรับเปลี่ยนและค้นหาวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้ตนเองสามารถสร้าง จัดหา ถ่ายทอดความรู้ ในการพัฒนากระบวนการทำงาน การศึกษาเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในการศึกษาเรียนรู้ของตนเองให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการทำให้ผู้เรียนมีความกระตือรือล้น ที่จะเรียนรู้หรือแสวงหาองค์ความรู้ที่เหมาะสมใหม่ๆ มาใช้อย่างต่อเนื่อง
ความรู้ มี 2 ประเภท คือ
1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคลเกิดจากประสบการณ์ การเรียนรู้และความสามารถพิเศษ
2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่เป็นเหตุเป็นผลสามารถถ่ายทอด และรวบรวมออกมาในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ หนังสือ คู่มือ เอกสารและรายงานต่างๆ ที่ทำให้คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย
กรอบแนวคิดในการจัดการความรู้ สามารถแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบ
1. แนว Prescriptive เป็นการจัดการความรู้ตามพัฒนาการของการจัดการความรู้ ได้แก่
1. การบ่งชี้ความรู้ (Knowledge Identification)
2. การสร้างและแสวงหาความรู้ (Knowledge Creation and Acquisition)
3. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ (Knowledge Organization)
4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ (Knowledge Codification and Refinement)
5. การเข้าถึงความรู้ (Knowledge Access)
6. การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Sharing)
7. การเรียนรู้ (Learning)
8. การประเมินผล
2.แนว Descriptive เป็นการจัดการความรู้ตามปัจจัยหรือสิ่งสำคัญที่องค์กรต้องการให้สำเร็จ มีองค์ประกอบ 3 ประการ
กำหนดเป้าหมาย หรือสิ่งสำคัญที่องค์กรต้องทำให้สำเร็จ
กำหนดปัจจัยสนับสนุนที่จะทำให้การจัดการความรู้ดำเนินการอย่างราบรื่น ได้แก่วัฒนธรรมองค์กร เทคโนโลยี การสื่อสาร/ โครงสร้างองค์กรที่เอื้อต่อการจัดการความรู้ การวัดผลการจัดการความรู้
การสร้างกระบวนการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ การวางแผน To be vs as is การออกแบบบทบาทหน้าที่ เครื่องมือที่เกี่ยวข้อง การจัดทำแผนงาน การนำไปปฏิบัติ การนำร่อง การดำเนินการตามแผน การขยายผลไปในองค์กร การฝึกอบรมและการเรียนรู้
3.แนวผสมผสาน ระหว่างแนว Prescriptive และแนว Descriptive กระบวนการจัดการความรู้ ประกอบด้วย
1. การบ่งชี้ความรู้ (Knowledge Identification)
2. การสร้างและแสวงหาความรู้ (Knowledge Creation and Acquisition)
3. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ (Knowledge Organization)
4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ (Knowledge Codification and Refinement)
5. การเข้าถึงความรู้ (Knowledge Access)
6. การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Sharing)
7. การเรียนรู้ (Learning)
สำหรับรายละเอียดของแต่ขั้นตอนในกระบวนการจัดการความรู้ มีดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 “การบ่งชี้ความรู้” (Knowledge Identification) หมายถึง การบ่งชี้ความรู้ที่ผู้เรียนจำเป็นต้องมี วิเคราะห์รูปแบบ และแหล่งความรู้ที่มีอยู่ โดยดูว่าเราต้องมีความรู้เรื่องอะไร และเรามีความรู้เรื่องนั้นแล้วหรือยัง เพื่อหาว่าความรู้ใดมีความสำคัญสำหรับผู้เรียน จัดลำดับ ความสำคัญของความรู้เหล่านั้น เพื่อให้ผู้เรียนวางขอบเขตของการจัดการความรู้ และสามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ขั้นตอนที่ 2 “การสร้างและแสวงหาความรู้” (Knowledge Creation and Acquisition) หมายถึง การสำรวจ/วิเคราะห์ว่าความรู้ที่เราต้องการรู้นั้นอยู่ที่ใคร อยู่ในรูปแบบอะไร แล้วจะนำมาเก็บรวมกันได้อย่างไรโดยการค้นคว้าจากตำรา อินเตอร์เน็ต จากการสัมภาษณ์ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ จากภายในและภายนอกเพื่อนำมาจัดทำเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการ
ขั้นตอนทื่ 3 “การจัดความรู้ให้เป็นระบบ” (Knowledge Organization) หมายถึง การนำความรู้ที่รวบรวมมาจัดหมวดหมู่ แบ่งประเภทของความรู้เพื่อจัดทำให้ง่าย เป็นระบบ สะดวกต่อการค้นหาและใช้งาน
ขั้นตอนที่ 4. “การประมวลและกลั่นกรองความรู้” (Knowledge Codification and Refinement) หมายถึง การนำความรู้นั้นมาจัดทำรูปแบบและ “ภาษา” ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยการประมวลความรู้ให้อยู่ในรูปแบบและภาษาที่เข้าใจง่าย และใช้ได้ง่ายพร้อมทั้งเรียบเรียงและปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัย เข้าใจง่ายและสมบูรณ์ตรงกับความต้องการของผู้ที่จะเข้ามาศึกษาและค้นคว้า
ขั้นตอนที่ 5. “การเข้าถึงความรู้” (Knowledge Access) หมายถึง การนำความรู้ที่ผ่านการประมวลและกลั่นกรองเรียบร้อยแล้ว มาจัดการเผยแพร่ เพื่อดูว่าคนในสังคมแห่งการเรียนรู้ สามารถเข้าถึงความรู้ได้อย่างสะดวก รวดเร็วและง่ายหรือไม่ และสามารถนำมาใช้ได้ในเวลาที่ต้องการ เช่น การจัดทำเว็บจดหมายเวียน บอร์ดประชาสัมพันธ์ เสียงตามสาย Intranet ของผู้เรียน
ขั้นตอน 6. “การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้” (Knowledge Sharing) หมายถึง การนำความรู้นั้นมาแบ่งปัน โดยใช้เครื่องมือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดทำเอกสาร การจัดทำฐานความรู้ ชุมชนนักปฏิบัติ (CoP) ระบบพี่เลี้ยง การสับเปลี่ยนงาน รวมถึงการจัดทำเอกสาร จัดทำฐานความรู้ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้จะช่วยให้เข้าถึงความรู้ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
ขั้นตอน 7. “การเรียนรู้” (Learning) หมายถึง การเรียนรู้โดยมีนัยคือ Learning by doing ว่า ความรู้ที่จำเป็นซึ่งถูกบ่งชี้หรือกำหนดไว้ในขั้นตอนที่ 1 นั้น ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงาน การตัดสินใจ และนำมาช่วยในการแก้ปัญหา เพื่อปรับปรุงการเรียนให้ดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง ความรู้นั้นทำให้เกิดประโยชน์กับผู้เรียนหรือไม่ ทำให้ผู้เรียนดีขึ้นหรือไม่
ทักษะการสรุปบทเรียน
การสรุปบทเรียนเป็นการที่ผู้เรียนพยายามให้นักเรียนรวบรวมความคิด ความเข้าใจของตนเองจากการเรียนรู้ที่ผ่านมา ว่าได้สาระสำคัญ หลักเกณฑ์ หลักการ หรือแนวคิดสำคัญในช่วงการเรียนนั้นอย่างไรบ้าง ทั้งนี้เพื่อนักเรียนจะได้รับประเด็นสำคัญของบทเรียนได้ถูกต้องว่ามีอะไรบ้าง และจะนำความรู้ใหม่ไปสัมพันธ์กับความรู้เดิมได้อย่างไร
เทคนิคการสรุปบทเรียน
1.สรุปโดยอธิบายสั้นๆ ชัดเจน ทบทวนสาระสำคัญที่เรียนมา
2.สรุปโดยอุปกรณ์หรือรูปภาพประกอบ
3.สรุปโดยสนทนาซักถาม
4.สรุปโดยสร้างสถานการณ์
5.สรุปโดยนิทานหรือสุภาษิต
6.สรุปโดยการปฎิบัติ
ชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น