Web Blog การเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ในการฝึกทักษะเรียนรู้พื้นฐาน การจัดการความรู้ ทักษะภาษาดิจิตอล ทักษะการรู้คิดประดิษฐ์สร้าง ทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารที่มีประสิทธิผล เพื่อพัฒนาไปสู่ทักษะความรู้ที่มุ่งหวังของหลักสูตร โรงเรียนมาตรฐานสากล 6 ประการ ประกอบด้วย (1) ทักษะการเรียนรู้ Learning Skills (2) ทักษะการคิด Thinking Skills (3) ทักษะการแก้ปัญหา Problerm Skills (4) ทักษะชีวิต Life Skills (5) ทักษะการใช้เทคโนโลยี Technology Skills (6) ทักษะการสื่อสาร Communication Skills โดยใช้ทฤษฎีระบบการเรียน KM (Knowlead Maneagement) ตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับ Gooogle App For Education Thai และวิสัยทัศน์กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด (Word Class Standard)

ภาพเคลื่อนไหว

ประวัติศาสตร์ชาติไทย

ข่าว1

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

นางอุษา


นางอุษา
**********************************************

     นางอุษานั้น...เมื่อชาติปางก่อนเคยเป็นนางอัปสรอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เเต่นางทำผิดกฎสวรรค์ จึงถูกพระอินทร์ลงโทษให้มาจุติในดอกบัวกลางสระน้ำใกล้กับอาศรมของฤๅษีจันทา...
     ฤๅษีจันทามาพบนางซึ่งเป็นทารกน้อยอยู่ในดอกบัวจึงรับนางมาอุปการะเลี้ยงดู เรื่องของทารกน้อยนี้ไปถึงหูเจ้าเมืองพานและมเหสี ทั้งสองซึ่งยังไม่มีโอรสธิดาจึงขอนางอุษาจากฤๅษีจันทาเพื่อนำนางมาเลี้ยงดูในฐานะพระธิดา ฤๅษีจันทาก็ยกให้ เจ้าเมืองพานและมเหสีเลี้ยงดูนางอุษาเหมือนนางเป็นธิดาแท้ๆของตน
เมื่อนางอุษาเติบโตเป็นสาวแล้ว นางก็มีความงดงามยิ่งนัก หาหญิงมาเปรียบไม่ได้ เจ้าเมืองพานและมเหสีนั้นหวงแหนพระธิดาผู้งดงามนี้มากจึงได้สร้างหอสูงให้นางอุษาเพื่อให้ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ รวมถึงป้องกันไม่ให้ชายใดได้มีโอกาสเข้าใกล้นางด้วย ตั้งแต่เล็กจนโตเป็นสาว นางอุษาแทบไม่เคยพบเห็นหรือพูดคุยกับผู้ใดเลย นางจึงเหงาใจเป็นยิ่งนัก  วันหนึ่ง นางอุษานำดอกไม้มาทำเป็นหงส์ฟ้า แล้วอธิษฐานว่า หากชายใดเป็นเนื้อคู่ของนาง ขอให้เก็บหงส์ฟ้านี้ได้แล้วตามมาหานางที่หอสูงด้วยเถิด หงส์ฟ้านี้ลอยตามน้ำไปจนถึงท่าน้ำเมืองปะโค "ท้าวบารส" โอรสเจ้าเมืองปะโคได้เก็บหงส์ฟ้านี้ไว้ได้ จึงคิดตามหาหญิงสาวผู้ใช้หงส์ฟ้าเสี่ยงทายนางนี้ ท้าวบารสตามทวนน้ำมาจนพบหอสูงที่นางอุษาอาศัยอยู่ และได้พบกับนางอุษาคนงาม และทั้งสองก็ตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น  ทั้งสองตกลงปลงใจเป็นสามีภรรยากันและใช้ชีวิตคู่อยู่ที่หอนางอุสานั่นเอง...
 แต่ไม่นาน เจ้าเมืองพานก็ทราบเรื่อง ด้วยความหวงพระธิดาจึงท้าท้าวบารสให้สร้างวัดแข่งกันในเวลาครึ่งคืน หากใครสร้างเสร็จไม่ทันผู้นั้นต้องถูกตัดหัว ท้าวบารสก็รับคำท้าทั้งที่ตนมีบริวารน้อยกว่า ด้วยความเฉลียวฉลาดของท้าวบารส ท้าวบารสจึงชนะในการท้าครั้งนี้ เจ้าเมืองพานจึงยอมให้ท้าวบารสตัดหัวและยอมยกนางอุษาให้
นางอุษาเสียใจในการตายของพระบิดา แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ หลังจากนั้น ท้าวบารสจึงพานางอุษากลับเมืองปะโค  ด้วยความที่ท้าวบารสมีมเหสีและนางสนมอยู่ก่อนแล้ว พวกนางจึงริษยานางอุษา เพราะนางอุษางามกว่า และท้าวบารสก็โปรดนางอุษามาก พวกนางจึงวางแผนกำจัดนางอุษาไปให้พ้นทาง  มเหสีและนางสนมออกอุบายร่วมกับโหรหลวง โดยลวงให้ท้าวบารสให้เข้าป่าเพื่อสะเดาะเคราะห์ ท้าวบารสก็หลงเชื่อ แม้จะไม่อยากจากนางอุษาอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องจำใจออกเดินป่า  ระหว่างที่ท้าวบารสไปเดินป่า  มเหสีและเหล่านางสนมก็กลั่นแกล้งนางอุษาอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดนางอุษาก็ทนการกลั่นแกล้งสารพัดนี้ไม่ไหว และตัดสินใจกลับไปยังหอนางอุษาตามลำพัง และเฝ้ารอท้าวบารสอยู่ตลอดเวลา  เมื่อท้าวบารสกลับมาไม่พบนางอุษา พอทราบเรื่องก็รีบเดินทางไปที่หอนางอุษาทันที  ฝ่ายนางอุษานั้น รอท้าวบารสอยู่ที่หอของนางด้วยความตรอมใจ ร่างกายนางผ่ายผอมจนป่วยหนัก อาการของนางทรุดแย่ลงเรื่อยๆ จนยากที่จะเยียวยา  เมื่อท้าวบารสมาเห็นนางในสภาพเช่นนั้นก็เสียใจมาก แต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้  จนในที่สุด นางอุษาก็สิ้นใจอย่างสงบในอ้อมกอดของท้าวบารส  ชายผู้เป็นที่รักของนาง ฝ่ายท้าวบารสนั้น เมื่อเห็นนางอุษาสิ้นใจต่อหน้าตนเช่นนั้น ก็เศร้าโศกเสียใจมาก ในที่สุด ท้าวบารสก็ตรอมใจตายตามนางอุษาไป ในคืนวันเดียวกันนั่นเอง...
 ********************************************






     


นางสาวิตรี


สาวิตรี
***************************************************************

นางสาวิตรีเป็นเป็นธิดาของท้าวอัศวบดีและพระนางมาลวี แห่งนครมัทรชน  ก่อนที่นางสาวิตรีจะถือกำเนิดนั้น ท้าวอัศวบดีและพระนางมาลวีครองรักกันหลายสิบปีแต่ยังไม่มีโอรส ธิดาใช้เชยชม ทั้งสองจึงสวดมนต์ภาวนาขอพรจากพระนางสาวิตรี มเหสีแห่งองค์พระพรหมแต่หลายปีผ่านไป การสวดมนต์ภาวนานี้ก็ไม่เป็นผลเสียที ท้าวอัศวบดีจึงออกบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญตบะ รักษาศีล ปฏิบัติสมาธิอย่างเคร่งครัด ทำเช่นนี้จนล่วงเข้าปีที่ 18 พระนางสาวิตรีก็ปรากฏกายขึ้น และมอบพรให้ตามความต้องการ ท้าวอัศวบดีเดินทางกลับนครมัทรชนทันที หนึ่งเดือนหลังจากนั้นพระมเหสีก็ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดพระธิดา ซึ่งได้ให้นามว่า "สาวิตรี" ตามชื่อของพระนางสาวิตรีที่เมตตาประทานธิดาให้
นางสาวิตรีเติบโตขึ้นเป็นสตรีรูปร่างหน้าตางดงามราวนางฟ้านางสวรรค์ ทั้งยังมีสติปัญญาฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ทำให้ชายใดๆ ต่างคิดว่าตนไม่คู่ควรกับนาง จึงไม่มีใครกล้ามาสู่ขอ ท้าวอัศวบดีเห็นว่าพระธิดาเข้าสู่วัยสาว ควรจะแต่งงานได้แล้ว แต่ยังไม่มีชายใดมาสู่ขอ จึงออกปากให้สาวิตรีเลือกชายที่นางพอใจและเหมาะสมกับนางเอง สาวิตรีไม่ได้คัดค้านบิดา นางออกเดินทางพร้อมด้วยทหารองครักษ์และนางกำนัลจำนวนหนึ่ง ท่องเที่ยวไปตามป่าเขา ระหว่างทางเจออาศรมฤาษีนางก็จะเข้าไปทำความเคารพและทำบุญบริจาคทานเรื่อยไป
ทางฝ่ายท้าวอัศวบดีนั้นก็รอพระธิดาอยู่สามเดือน ในที่สุดสาวิตรีก็กลับมา นางเล่าเรื่องราวให้บิดาฟัง ว่านางเดินทางไปที่ป่าขลัง จนกระทั่งพบอาศรมฤาษี "ทยุมัตเสน" ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งนครศาลวะ มีมเหสีนาม "ไสพยา" ทั้งสองครองเมืองด้วยความซื่อสัตย์ และมีโอรสชื่อ "พระสัตยวาน" หมายถึง ผู้รักษาคำสัตย์เป็นเลิศ
ต่อมาท้าวทยุมัตเสนป่วยด้วยโรคประหลาด ดวงตาทั้งสองข้างมืดบอดลง รักษาอย่างไรก็ไม่หาย พระนางไสพยาเป็นกังวลนัก ในขณะนั้นเองคนในนครที่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงก็เข้าปล้นราชสมบัติ ยึดราชบัลลังก์  ท้าวทยุมัตเสนและนางไสพยาพาพระสัตยวานหนีออกมาได้ทัน และตั้งอาศรมอยู่ที่ชายป่าแห่งหนึ่งตั้งแต่นั้นมา...
นางสาวิตรีทูลว่า ชายที่เหมาะสมกับนางยิ่งกว่าชายใด คือ พระสัตยวาน พระนารทฤาษีซึ่งนั่งอยู่ที่นั่นด้วยรีบท้วงว่าสาวิตรีเลือกคนผิดเสียแล้ว ถึงพระสัตยวานจะเป็นบุรุษรูปงาม สติปัญญาฉลาดหลักแหลม จิตใจดีงาม ชอบทำบุญทำทาน ตั้งตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต กตัญญูต่อบุพการี แต่เขาจะมีอายุสั้น ต้องเสียชีวิตในอีกหนึ่งปีนับจากนี้!
นางสาวิตรีไม่ได้เปลี่ยนใจแม้แต่น้อย  สาวิตรีเป็นหญิงที่งดงามทั้งกายและใจ ถึงแม้ว่าสิ่งที่นางตัดสินใจจะนำมาซึ่งความทุกข์ในภายหลัง นางก็ไม่คิดจะถอนคำพูดแต่อย่างใด นางคิดว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถรอดพ้นไปได้ จึงยืนยันที่จะแต่งงานกับพระสัตยวาน
พระสัตยวานยินดียิ่งนักที่ได้สาวิตรีที่มีความงดงามทั้งกายและใจมาเป็นภรรยา สาวิตรีย้ายมาอยู่ที่อาศรมของท้าวทยุมัตเสน นางเก็บเสื้อผ้าสีสันสวยงามและเครื่องประดับมีค่าต่างๆไว้ในหีบ และนุ่งห่มผ้าขาวตามพระนางไสพยาและพระสัตยวาน ทุกๆวัน นางจะเตรียมอาหารให้พ่อแม่สามีและสามีอย่างไม่ขาดตกบกพร่องด้วยความเต็มใจ ไม่เคยปริปากบ่นเลย
สาวิตรีมีความสุขที่ได้อยู่กินกับชายที่นางรัก แต่เมื่อหวนนึกถึงคำของพระนารทฤาษีก็ทุกข์ใจนัก ว่าถ้านางไม่มีพระสัตยวานเคียงข้าง นางจะเหงาและเปล่าเปลี่ยวเพียงใด เวลาล่วงเลยผ่านไป จนอีกสี่วันจะครบกำหนด นางสาวิตรีได้บำเพ็ญตรีราตระธุดงค์ คือ อดอาหารเป็นเวลาสามวันสามคืน เพื่อช่วยพระสัตยวานให้พ้นจากบ่วงกรรม
เมื่อถึงวันที่ครบกำหนดแล้ว สาวิตรีนั้นเศร้าหมองใจยิ่งนัก พระสัตยวานเห็นนางเศร้าหมองก็ปลอบโยน นางรับรู้ได้ถึงความห่วงใยของสามีก็ยิ่งทุกข์ระทม เพราะความรักที่ทั้งสองมีให้กันนั้นเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ปรารถนาจะให้คนที่เรารักมีความสุขโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน นางตั้งสัตย์ปฏิญาณกับตนเองว่า...แม้พระสัตยวานจะจากไป...นางก็จะไม่ปรารถนาชายใดมาเป็นคู่ครองอีกตลอดชีวิต...
พระสัตยวานขอตัวไปตัดฟืนในป่า สาวิตรีร้องขอสามีให้พาตนไปด้วย ตอนแรกพระสัตยวานเป็นห่วงนางอันเป็นที่รัก แต่เมื่อเห็นว่าสาวิตรีร้องไห้ขอตามไปด้วยก็ใจอ่อน สาวิตรีกล่าวว่า ไม่ว่าจะลำบากเพียงใด ขอแค่วันนี้นางได้อยู่ใกล้พระสัตยวานโดยไม่ให้คลาดเพียงเสี้ยววินาทีก็พอ ระหว่างทางที่เข้าป่ามา สาวิตรีมองทุกอิริยาบถของสามี คล้ายจะประทับไว้ในความทรงจำไม่ลืมเลือน...
ขณะที่พระสัตยวานตัดฟืน สาวิตรีก็นั่งมองอยู่ห่างๆ แต่อยู่ดีๆ พระสัตยวานก็บอกว่าปวดหัว เดินโซเซมาหานางและล้มตึงไป นางตกใจรีบพาสามีมานอนใต้ร่มไม้ใหญ่ นางมองสามีที่บัดนี้ร่างกายขาวซีด สงบนิ่งเหมือนไม่มีชีวิต พลางร้องไห้เรียกให้พระสัตยวานฟื้นขึ้นมา ทันใดนั้น พระยมก็มายืนอยู่ข้างกายพระสัตยวาน
พระยมดึงวิญญาณของพระสัตยวานไป สาวิตรีเดินตามพระยมไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย พระยมเห็นนางเดินตามมาก็กล่าวว่า อย่าเสียเวลาเดินตามมาเลย  นางตอบกลับอย่างนุ่มนวลและกล้าหาญว่า ไม่ว่าสวามีจะอยู่แห่งใด นางก็จะตามไปทุกที่ ไม่ว่าอุปสรรคจะมากมายเท่าใด นางก็ไม่หวั่นเกรง พระยมพอใจในวาจาของนาง จึงให้นางขอพรได้หนึ่งข้อ ยกเว้นขอชีวิตพระสัตยวาน สาวิตรีขอพรว่า ขอให้บิดาของพระสัตยวานซึ่งดวงตามืดสนิท กลับมามองเห็นได้อีกครั้ง
พระยมมอบพรให้และกล่าวว่านางอย่าตามมาอีกเลย แต่สาวิตรีก็ยังเดินตามต่อไป พร้อมพูดคติธรรมให้พระยมฟังเรื่อยๆ พระยมพอใจในวาจาของนางหนักหนา มอบพรให้อีกข้อหนึ่ง เว้นชีวิตพระสัตยวาน
นางขอให้ท้าวทยุมัตเสน ได้ราชสมบัติคืน พระยมก็มอบให้ นางกล่าวคติธรรมต่อไปเรื่อยๆ พระยมกล่าวว่า คำพูดของนางนั้นเหมือนน้ำเย็นที่สะอาดบริสุทธิ์ จึงให้นางขอพรได้อีกเป็นครั้งที่สาม มีข้อยกเว้นเช่นเดิม
นางขอพรว่า ให้บิดามารดาของนางมีโอรสร้อยองค์ เพื่อจะได้มี
รัชทายาทสืบสกุลต่อไป สาวิตรีใช้สติปัญญาที่ฉลาดหลักแหลมกล่าวชื่นชมพระยมว่าทรงเป็น ธรรมราชา คือผู้ที่มีความยุติธรรมเป็นเลิศ พระยมพอใจจึงมอบพรข้อที่สี่ให้ โดยยกเว้นเช่นเดิม สาวิตรีขอให้นางมีโอรสร้อยองค์กับพระสัตยวาน พระยมไม่ได้คิดถึงความหมายของพรที่นางขอจึงมอบให้ นางกล่าวคติธรรมต่อไป พระยมศรัทธาในตัวนางมากขึ้น และให้พรนางอีกหนึ่งข้อ และครั้งนี้ขอให้เป็นพรที่ประเสริฐสุดสำหรับนางเอง นางจึงกล่าวว่า พรข้อที่สี่ที่พระยมประทานให้ไม่มีวันสัมฤทธิผล หากปราศจากพระสัตยวาน ดังนั้นจึงขอชีวิตพระสัตยวานคืน พระยมไม่อาจคืนคำตนเองได้จึงมอบวิญญาณพระสัตยวานคืนให้ และขอให้ทั้งสองอยู่กินกันอย่างมีความสุข...
พระสัตยวานฟื้นขึ้นมา สาวิตรีร้องไห้ดีใจอยู่ข้างกายสามี ทั้งสองเดินทางกลับอาศรมอย่างปลอดภัย เมื่อกลับมาก็พบว่าท้าวทยุมัตเสนกลับมามองเห็นได้ดั่งเดิมแล้ว ไม่นานหลังจากนั้น อำมาตย์ผู้จงรักภักดีแห่งเมืองศาลวะก็เดินทางมาที่อาศรม และเเจ้งข่าวว่า พวกคนโฉดนั้นถูกสังหารไปแล้ว พวกตนมาเชิญท้าวทยุมัตเสนกลับไปปกครองเมืองด้วยความที่ท้าวทยุมัตเสนและพระนางไสพยาชรามากแล้ว พระสัตยวานจึงได้ครองบ้านเมืองแทน โดยมีนางสาวิตรีเป็นพระมเหสี ครองรักกันอย่างมีความสุข
หลังจากนั้น นางสาวิตรีก็ให้กำเนิดโอรสร้อยองค์ และได้ทราบข่าวว่ามารดาของนางได้ให้กำเนิดโอรสร้อยองค์เช่นกัน เป็นอันว่า พรที่พระยมให้นางนั้นเป็นจริงทุกประการ...
********************************************************







นางสีดา


นางสีดา
**************************************************************

     นางสีดา...เป็นธิดาของพญายักษ์ทศกัณฐ์ กับนางมณโฑผู้เป็นมเหสีรอง ความจริงเเล้วก่อนจะมาเกิดเป็นนางสีดา นางคือ "พระลักษมี" เทพชายาแห่ง "พระนารายณ์" ผู้ปกครองเกษียรสมุทร เมื่อพระนารายณ์ต้องแบ่งภาคมากำเนิดบนโลกมนุษย์เพื่อปราบพญายักษ์ทศกัณฐ์ พระลักษมีเทพชายาจึงขอแบ่งภาคตามมาเกิดด้วย...
เมื่อแรกเกิด นางได้ร้องออกมาว่า "ผลาญยักษ์" สามครั้ง พิเภก (น้องชายทศกัณฐ์) ทำนายว่านางเป็นตัวกาลกิณี ในอนาคตจะทำให้กรุงลงกาวอดวาย ทศกัณฐ์และนางมณโฑจึงจำใจยอมให้พิเภกนำทารกน้อยไปทิ้งที่แม่น้ำ...
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ที่เมื่อทารกน้อยนี้สัมผัสน้ำ ก็พลันมีดอกบัวขึ้นมารองรับนางไว้ ดอกบัวลอยไปจนถึงอาศรมของฤๅษีชนก หรือท้าวชนกผู้ครองเมืองมิถิลา ผู้เบื่อหน่ายกับชีวิตทางโลกจึงออกมาบำเพ็ญพรตแทน ฤๅษีชนกเห็นทารกน้อยก็เก็บมาเลี้ยง โดยนำทารกใส่ผอบ แล้วฝากเทวดานางฟ้าไว้ พร้อมขุดหลุมฝังผอบ
หลายสิบปีต่อมา ฤๅษีชนกก็ยังไม่สำเร็จญาณเสียที จึงคิดจะกลับไปครองเมืองดั่งเดิม พลันก็คิดถึงทารกเพศหญิงที่ตนฝากเทวดานางฟ้าดูแลไว้ จึงสั่งให้คนรับใช้ขุดหลุมหาจนทั่วอาศรม แต่ก็ไม่เจออะไรเลย คราวนี้ ฤๅษีชนกจึงเป็นผู้หาเอง โดยเอาคันไถมาขุดลากหา และอธิฐานให้เจอผอบที่ฝังไว้ ในที่สุดก็พบผอบนั้นจนได้ ฤๅษีชนกเปิดผอบก็พบกับหญิงสาวโฉมงามดั่งนางฟ้า จึงรับหญิงสาวเป็นธิดาบุญธรรมและให้นามนางว่า "สีดา" แปลว่า "รอยคันไถ" เพราะต้องไถจนดินเป็นรอยคันไถกว่าจะเจอผอบที่นางอยู่
ฤๅษีชนกกลับเมืองมิถิลา พระมเหสีดีใจมากที่ได้ธิดางามเลิศ เนื่องจากท้าวชนกและมเหสีไม่เคยมีบุตร เวลาผ่านล่วงเลยไป สีดาเติบโตเป็นสาวรุ่น งดงามเป็นยิ่งนัก ท้าวชนกจึงคิดหาคู่ครองให้ โดยมีพิธียกธนูโมลี ธนูศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ใครยกธนูนี้ได้จะได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงสีดา ความงามของนางสีดาเป็นที่ลื่อเลื่องอยู่แล้ว เมื่อถึงวันพิธีจึงมีชายหนุ่มมากมายมาร่วมพิธี ไม่มีใครยกธนูโมลีได้ซักคน ยกเว้น "องค์ชายราม" โอรสแห่งกษัตริย์เมืองอโยธยาเท่านั้น นางสีดามีใจให้พระรามอยู่แล้ว ทั้งสองจึงได้อภิเษกสมรสกัน (พระรามคือพระนารายณ์เทพสวามีของพระลักษมีที่แบ่งภาคลงมาเกิด) นางสีดาตามพระรามกลับเมืองอโยธยา ไปเป็นมเหสีพระรามที่นั่น ทั้งสองครองรักกันอย่างมีความสุข จนพระรามมีเหตุจำเป็นที่ต้องออกบวชเป็นเวลาสิบสี่ปี โดยมี "พระลักษมณ์" น้องชายต่างมารดาของพระรามติดตามมาด้วย โดยนางสีดาก็ติดตามไปดูแลพระรามไปในป่า   
ระหว่างที่บวชอยู่นั่นเอง ทศกัณฐ์มาแอบหลงรักนางสีดา เนื่องจากต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าเป็นพ่อลูกกัน ทศกัณฐ์จึงวางแผนชิงตัวนางสีดาไปอยู่ด้วยที่เมืองลงกา พระรามก็ตามมา จึงเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้น ตลอดเวลาที่สีดาอยู่ที่เมืองลงกา นางก็เฝ้าจงรักภักดีกับพระรามเสมอมา ไม่ใจอ่อนให้ทศกัณฐ์เลยแม้แต่น้อย...
สุดท้ายทศกัณฐ์ก็ถูกพระรามสังหารได้สำเร็จ นางสีดาได้กลับมาอยู่กับพระรามดั่งเดิม แต่ก่อนหน้านั้นนางได้ขอทำพิธีลุยไฟ เพื่อเเสดงให้เห็นว่านางมีพระรามแค่คนเดียว ก่อนลุยไฟนางกล่าวว่า "ข้าของตั้งสัจจะวาจาว่า หากข้าประพฤติชอบ มีสวามีเพียงหนึ่ง ขอให้ไฟนี้อย่าได้กล้ำกราย แต่หากข้าไม่เป็นเช่นนั้นขอให้ไฟนี้มอดไหม้ข้าให้สิ้นไป"  และแล้วระหว่างที่นางลุยไฟ ก็มีดอกบัวมาห่อหุ้มพระบาท เอาไว้ ไม่ให้ไฟมาทำอันตรายได้พระรามพาสีดากลับเมือง ครองเมืองอโยธยาแทนท้าวทศรถผู้เป็นบิดาที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยแต่งตั้งนางสีดาให้เป็นมเหสี
แต่เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อ "นางอาดูร" หลานสาวของทศกัณฐ์ที่มีความแค้นเคืองสีดามาแปลงกายเป็นนางกำนัลในตำหนัก ขอร้องให้สีดาวาดรูปทศกัณฐ์ให้ดู แล้วเข้าสิงรูปนั้น ทำให้ไม่สามารถลบออกได้ พระรามรู้เข้าก็โกรธ หาว่านางสีดายังมีใจคิดถึงทศกัณฐ์ ไม่ฟังคำนางสีดาเลย ทั้งยังสั่งประหารนางสีดาอีกด้วย ทั้งๆที่ตอนนั้นนางสีดากำลังมีครรภ์อ่อนๆ
แต่โชคดีที่นางสีดารอดมาได้ จากการช่วยเหลือของพระลักษมณ์ นางไปอาศัยอยู่ที่อาศรมของฤๅษีตนหนึ่ง และคลอดโอรส นามว่า "พระมงกุฎ" และฤๅษีก็เสกโอรสที่หน้าตาเหมือนกัน แต่ผมสีแดง (เนื่องจากกำเนิดจากไฟ) ให้นามว่า "พระลบ" ต่อมาพระรามรู้ความจริงและออกตามหานางสีดา แต่นางสีดาโกรธไม่ยอมคืนดีด้วย จึงมอบพระมงกุฎและพระลบให้ แต่ตัวนางเองไม่ได้คืนสู่อโยธยาแต่อย่างใด ร้อนถึงพระอิศวร (พระศิวะ) ต้องมาช่วยไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองคืนดีกัน หลังจากนั้น ทั้งสองก็ครองรักกันอย่างมีความสุข

****************************

นางมณโฑ


นางมณโฑ
***********************************

นางมณโฑนั้น แต่เดิมเป็นนางกบอาศัยอยู่ที่บ่อน้ำนมของฤๅษีผู้ทรงศีล วันหนึ่งมีนางนาคที่แค้นฤๅษีมาคายพิษที่บ่อน้ำนม หวังฆ่าพระฤๅษี ด้วยความกตัญญูกตเวที นางกบจึงตัดสินใจดื่มน้ำนมในบ่อนั้นจนหมด และขาดใจตายอยู่ริมบ่อนั่นเอง
     พระฤาษีเห็นนางกบนอนตายอยู่ก็แปลกใจ จึงชุบชีวิตนางกบขึ้นมาไถ่ถามเรื่องราว เมื่อรู้เรื่องราวทั้งหมด พระฤาษีก็เอ่ยขอบใจนางกบและชุบนางกบให้กลายเป็นหญิงสาวสวยงามให้นามว่า "มณโฑ"
      พระฤาษีพานางมณโฑไปฝากเป็นข้ารับใช้พระแม่อุมาเทวี (เทพชายาแห่งพระอิศวรหรือพระศิวะ) ซึ่งพระอุมาก็ทรงรับไว้ พระอุมาทรงเอ็นดูนางมณโฑจึงสอนวิชามนตร์ต่างๆให้ นางมณโฑก็ขยันขันแข็งและน้อมรับบัญชาดี จึงได้เป็นคนโปรดของพระอุมาในที่สุด ต่อมาพญายักษ์ทศกัณฐ์ได้มายกเขาไกรลาศ (ที่ประทับของพระอิศวรกับพระอุมา) ให้ตั้งตรงได้ และได้ขอนางมณโฑเป็นรางวัลกับพระอิศวร พระอิศวรก็ทรงประทานให้
      ทศกัณฐ์อุ้มตัวนางมณโฑเหาะมา จนผ่านกรุงขีดขิน ซึ่งมีพญาพาลีเป็นผู้ครองเมือง (พญาพาลีเป็นวานร พี่ชายของสุครีพและเป็นน้าของหนุมาน)
      พญาพาลีไม่พอใจที่ทศกัณฐ์บังอาจเหาะข้ามหัวจึงถือตะบองเหาะไปท้ารบกับทศกัณฐ์ โดยมีนางมณโฑเป็นรางวัลสำหรับผู้ชนะ
      พญาพาลีนั้นได้รับพรจากพระอิศวรว่า ไม่ว่าจะสู้กับใคร คู่ต่อสู้จะพลังลดลงครึ่งหนึ่ง และพลังของคู่ต่อสู้จะมาเพิ่มให้กับตัวพาลีเอง
      ดังนั้นพาลี จึงได้รับชัยชนะและพานางมณโฑมาเป็นชายาที่กรุงขีดขิน แต่ทว่าไม่นานฤาษี "อังคต" ผู้เป็นอาจารย์ของพาลีก็มาไกล่เกลี่ยให้พาลีคืนนางมณโฑให้ทศกัณฐ์ พาลีก็จำใจคืนให้
      ปัญหาติดอยู่ที่ว่าตอนนั้นมณโฑมีครรภ์แก่ใกล้คลอดแล้ว แต่ฤาษีอังคตก็ทำพิธีเอาลูกวานรในครรภ์ของนางมณโฑมาใส่ไว้ในท้องแม่เเพะ แล้วคืนนางมณโฑให้ทศกัณฐ์ (ลูกวานรนั้นคือ "องคต" นั่นเอง)
      นางมณโฑถูกแต่งตั้งให้เป็นมเหสีรองของทศกัณฐ์ และมีโอรสธิดากับทศกัณฐ์รวม 3 องค์ คือ รณพักตร (อินทรชิต) นางสีดา และไพนาสุริวงศ์ (กำเนิดหลังทศกัณฐ์สิ้นใจแล้ว)
     หลังจากที่ทศกัณฐ์ถูกพระรามสังหารแล้ว พระรามได้ยกกรุงลงกาให้พิเภก และประทานนางมณโฑให้เป็นมเหสีพิเภกด้วย

***************************

นางโมรา


นางโมรา

**********************************

นางโมรา ถูกพระฤๅษีปลุกเสกขึ้นจากดอกไม้ป่านำมาใส่ไว้ในผอบทอง พระฤๅษีมอบผอบทองให้จันทโครพโอรสเจ้าเมืองพาราณสีผู้เป็นศิษย์ พร้อมกำชับจันทโครพว่า ห้ามเปิดผอบก่อนถึงเมืองพาราณสีเด็ดขาด!!!
     ด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็น จันทโครพจึงฝ่าฝืนคำสั่งของพระฤๅษี เปิดผอบระหว่างทาง   จันทโครพเห็นนางโมราที่ออกมาจากผอบแล้วก็หลงรัก และได้นางโมราเป็นภรรยากลางป่าพร้อมทั้งให้คำสัญญากับโมราว่า เมื่อกลับไปถึงเมืองพาราณสีแล้ว จะแต่งตั้งนางให้เป็นมเหสีอย่างสมเกียรติ
     แต่เคราะห์ร้าย ระหว่างทางจันทโครพและนางโมราเจอพวกโจรป่า หัวหน้าโจรป่าขอตัวนางโมราแต่จันทโครพยืนกรานไม่ยอมยกให้ จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น ลูกน้องโจรชั้นปลายแถวถูกจันทโครพฆ่าตายจนหมด เหลือแต่หัวหน้าโจรป่าผู้เดียว
     จันทโครพเข้าต่อสู้กับหัวหน้าโจรป่า เนื่องจากความเหนื่อยล้าจากการเดินทางทำให้จันทโครพเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ซ้ำร้ายจันทโครพยังเผลอทำพระขรรค์ หลุดมือไป จึงบอกให้นางโมราเก็บมายื่นให้ตน
     แต่แทนที่นางโมราจะส่งพระขรรค์ให้ถึงมือจันทโครพ นางกลับส่งพระขรรค์ให้หัวหน้าโจรป่าหน้าตาเฉย เพราะเห็นว่าหัวหน้าโจรป่าได้เปรียบ ถ้าเข้าข้างจันทโครพแล้วจันทโครพแพ้นางจะแย่เอาได้   นั่นทำให้หัวหน้าโจรป่าฆ่าจันทโครพได้สำเร็จ หัวหน้าโจรป่าขอให้นางโมรามาเป็นภรรยาของตน เพื่อความอยู่รอด นางโมราจึงยอมเป็นภรรยาของหัวหน้าโจรป่า
     แต่ท้ายที่สุดหลังจากอยู่กินกับหัวหน้าโจรป่าก็ทิ้งนางโมราไปนั่นทำให้นางโมราต้องทนลำบากยากไร้หนทางอยู่กลางป่า
     พระอินทร์เห็นดังนั้นก็อยากลองใจนางโมรา จึงแปลงกายเป็นนกอินทรีลงมาจิกกินเนื้อสมันให้นางโมราเห็น นางโมราขอปันเนื้อสมันจากนกอินทรี แต่นกอินทรีก็กล่าวว่าจะปันให้ก็ได้ แต่มีข้อแม้คือนางโมราต้องยอมมาเป็นภรรยาของตน นางโมราทำท่าทางสะอิดสะเอียนและรังเกียจนกอินทรี แต่ด้วยความหิวและต้องการที่จะอยู่รอด นางจึงตอบตกลง พระอินทร์ได้ฟังดังนั้น ก็ทรงพิโรธมากกลับร่างเดิมและกล่าวว่า
     "เจ้าเป็นผู้หญิงหน้าตาสวยงาม แต่กลับไร้สิ่งที่ควรมีของกุลสตรีไม่มีความละอายใจ ยอมแลกกับศักดิ์ศรีของความเป็นหญิงเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ข้าขอสาปเจ้าให้เป็นนางชะนี เห็นพระอาทิตย์ทอแสงสีแดงก็ให้คิดว่าเป็นเลือดของผัวตัวเอง ส่งเสียงร้อง ผัว ผัว ผัว ในป่าแห่งนี้โดยไม่มีคู่ครองตลอดไป!!!"
     นางโมราจึงกลายเป็นนางชะนี อยู่ในป่าแห่งนั้นโดยไม่มีคู่ครองอย่างคำสาปของพระอินทร์ ส่วนจันทโครพสามีเก่าของนางนั้นได้รับความช่วยเหลือจากพระอินทร์ให้กลับมามีชีวิตเหมือนเดิม

*****************************


วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ประวัติอินเทอร์เน็ต


ประวัติอินเทอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ต(Internet) คืออะไร
อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายเล็ก ๆ มากมาย รวมเป็นเครือข่าย เดียวกันทั้งโลก หรือทั้งจักรวาล
อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ เครือข่ายสื่อสาร ซึ่งเชื่อมโยงกันระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ที่ต้องการเข้ามา ในเครือข่าย
อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย
อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ เครือข่ายของเครือข่าย (A network of network)
สำหรับคำว่า internet หากแยกศัพท์จะได้ออกมา 2 คำ คือ คำว่า Inter และคำว่า net ซึ่ง Inter หมายถึงระหว่าง หรือท่ามกลาง และคำว่า Net มาจากคำว่า Network หรือเครือข่าย เมื่อนำความหมาย ของทั้ง 2 คำมารวมกัน จึงแปลได้ว่า การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย

ประวัติความเป็นมา
- อินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นโครงการของ ARPAnet(Advanced Research Projects Agency Network) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สังกัด กระทรวงกลาโหม ของสหรัฐ (U.S.Department of Defense - DoD) ถูกก่อตั้ง เมื่อประมาณ ปีค.ศ.1960(พ.ศ.2503) และได้ถูกพัฒนาเรื่อยมา
- ค.ศ.1969(พ.ศ.2512) ARPA ได้รับทุนสนันสนุน จากหลายฝ่าย ซึ่งหนึ่งในผู้สนับสนุนก็คือ Edward Kenedy และเปลี่ยนชื่อจาก ARPA เป็น DARPA(Defense Advanced Research Projects Agency) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบายบางอย่าง
และในปีค.ศ.1969(พ.ศ.2512)นี้เองที่ได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์คนละชนิด จาก 4 แห่ง เข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และมหาวิทยาลัยยูทาห์ เครือข่ายทดลองประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนั้นในปีค.ศ.1975(พ.ศ.2518) จึงได้เปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายที่ใช้งานจริง ซึ่ง DARPA ได้โอนหน้าที่รับผิดชอบ โดยตรง ให้แก่ หน่วยการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ (Defense Communications Agency - ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบัน Internet มีคณะทำงานที่รับผิดชอบบริหาร เครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก, IAB (Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติมาตรฐานใหม่ในInternet, IETF (Internet Engineering Task Force) พัฒนามาตรฐานที่ใช้กับ Internet ซึ่งเป็นการทำงานโดยอาสาสมัคร ทั้งสิ้น
- ค.ศ.1983(พ.ศ.2526) DARPA ตัดสินใจนำ TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocal) มาใช้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบ ทำให้เป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่าย Internet จนกระทั่งปัจจุบัน จึงสังเกตุได้ว่า ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่จะต่อ internet ได้จะต้องเพิ่ม TCP/IP ลงไปเสมอ เพราะ TCP/IP คือข้อกำหนดที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทั่วโลก ทุก platform คุยกันรู้เรื่อง และสื่อสารกันได้อย่างถูกต้อง
- การกำหนดชื่อโดเมน (Domain Name System) มีขึ้นเมื่อ ค.ศ.1986(พ.ศ.2529) เพื่อสร้างฐานข้อมูล แบบกระจาย (Distribution database) อยู่ในแต่ละเครือข่าย และให้ ISP(Internet Service Provider) ช่วยจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ เหมือนแต่ก่อน เช่น การเรียกเว็บ www.yonok.ac.th จะไปที่ตรวจสอบว่ามีชื่อนี้ หรือไม่ ที่ www.thnic.co.th ซึ่งมีฐานข้อมูล ของเว็บที่ลงท้ายด้วย th ทั้งหมด เป็นต้น
- DARPA ได้ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลระบบ internet เรื่อยมาจนถึง ค.ศ.1980(พ.ศ.2533) และให้ มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation - NSF) เข้ามาดูแลแทนร่วม กับอีกหลายหน่วยงาน
- ในความเป็นจริง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ internet และไม่มีใครมีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว ในการกำหนดมาตรฐานใหม่ต่าง ๆ ผู้ติดสินว่าสิ่งไหนดี มาตรฐานไหนจะได้รับการยอมรับ คือ ผู้ใช้ ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ที่ได้ทดลองใช้มาตรฐานเหล่านั้น และจะใช้ต่อไปหรือไม่เท่านั้น ส่วนมาตรฐานเดิมที่เป็นพื้นฐานของระบบ เช่น TCP/IP หรือ Domain name ก็จะต้องยึดตามนั้นต่อไป เพราะ Internet เป็นระบบกระจายฐานข้อมูล การจะเปลี่ยนแปลงระบบพื้นฐาน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

- ในปัจจุบัน เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ไอที (IT) กำลังได้รับ ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology)จะเป็นตัวที่ทำให้ เกิดความรู้ วิธีการประมวลผล การจัดเก็บรวบรวมข้อมูล การเรียกใช้ข้อมูล ตลอดจนการเรียกใช้ข้อมูล ด้วยวิธีการทางอิเล็คทรอนิคส์ เมื่อเราให้ความสำคัญกับเ ทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ความจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือในการใช้งานไอที เครื่องมือนั้นก็คือเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ สื่อสารโทรคมนาคม อินเตอร์เน็ตนับว่าเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) หรือไอที เพราะเราสามารถที่จะใช้งาน หาข้อมูลข่าวสาร และเข้าถึงข้อมูล ได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว อินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลเรื่องราวต่างๆ มากมาย ให้เราค้นหา ข่าวสารที่ทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกเราสามารถที่จะทราบได้ทันที จึงนับได้ว่า อินเตอร์เน็ตนั้นเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ทั้งในระดับองค์กรและในระดับบุคคล  

บริการที่ได้รับ
(จากประสบการณ์ที่ได้ใช้บริการ ซึ่งคาดว่าเป็นบางส่วนของที่มีบริการอยู่ในปัจจุบัน)
[ Telnet | Electronic mail | Usenet news | FTP | WWW | Net2Phone | NetMeeting | ICQ | IRC | Game online | Software updating | Palm หรือ PocketPC | Wap ]


 http://www.krujongrak.com/internet/internet.html