Web Blog การเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ในการฝึกทักษะเรียนรู้พื้นฐาน การจัดการความรู้ ทักษะภาษาดิจิตอล ทักษะการรู้คิดประดิษฐ์สร้าง ทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารที่มีประสิทธิผล เพื่อพัฒนาไปสู่ทักษะความรู้ที่มุ่งหวังของหลักสูตร โรงเรียนมาตรฐานสากล 6 ประการ ประกอบด้วย (1) ทักษะการเรียนรู้ Learning Skills (2) ทักษะการคิด Thinking Skills (3) ทักษะการแก้ปัญหา Problerm Skills (4) ทักษะชีวิต Life Skills (5) ทักษะการใช้เทคโนโลยี Technology Skills (6) ทักษะการสื่อสาร Communication Skills โดยใช้ทฤษฎีระบบการเรียน KM (Knowlead Maneagement) ตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับ Gooogle App For Education Thai และวิสัยทัศน์กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด (Word Class Standard)

ภาพเคลื่อนไหว

ประวัติศาสตร์ชาติไทย

ข่าว1

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด


มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด


สาระการเรียนรู้ตามหลักสูตรสถานศึกษา
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่   3 
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สาระที่  4  ประวัติศาสตร์
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------มาตรฐาน  ส 4.1
เข้าใจความหมาย ความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์  บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผลมาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ

          มาตรฐานการเรียนรู้
เข้าใจความหมายความสำคัญของการนับเวลา  การแบ่งช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์และเทียบศักราชในระบบต่าง ๆ 
เพื่อให้สามารถเข้าใจเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง
ศึกษารวบรวมข้อมูลและจัดระบบข้อมูลอย่างเป็นระบบด้วยวิธีทางประวัติศาสตร์ เพื่อใช้ในการศึกษา
อภิปรายประวัติความเป็นมาของภูมิภาคของโลก
เข้าใจวิธีทางประวัติศาสตร์เพื่อนำมาใช้ศึกษาหาข้อสรุปและนำเสนอเหตุการณ์  ทางประวัติศาสตร์ไทยและสากล
อย่างมีวิจารณญาณและมีความเป็นกลาง เปรียบเทียบให้เห็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในประเทศไทย
กับประเทศทางซีกโลกตะวันออกและตะวันตก
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาตรฐาน   ส 4.2 
เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในแง่ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลง ของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง
ตระหนักถึงความสำคัญและสามารถวิเคราะห์ ผลกระทบที่เกิดขึ้น 

          มาตรฐานการเรียนรู้
วิเคราะห์เปรียบเทียบข้อดีและข้อจำกัดของปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่มีผลต่อพัฒนาการในการตั้งถิ่นฐาน
และการดำรงชีวิตของประชากรในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก
เข้าใจพัฒนาการของอารยธรรมตะวันออกและตะวันตกที่มีผลต่อประเทศไทยในด้านเศรษฐกิจ
การเมือง การปกครอง สังคม ศิลปวัฒนธรรม เทคโนโลยีและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
วิเคราะห์เปรียบเทียบผลงานที่เกิดจากการสร้างสรรค์อารยธรรมในแหล่งต่าง ๆ  ทั้งในโลกตะวันออก
และโลกตะวันตกเพื่อเข้าใจภูมิปัญญาของมนุษย์ในอดีต   อันเป็นแนวทางการพัฒนาผลงานที่มีคุณค่าในอนาคต
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาตรฐาน  ส 4.3 
เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความภาคภูมิใจและดำรงความเป็นไทย 

          มาตรฐานการเรียนรู้

รู้และเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการของเศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง สังคม ศิลปวัฒนธรรมและ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัฐไทยในดินแดนประเทศไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน   
และเกิดความภูมิใจ    ในความเป็นไทย
คิดวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและผลกระทบจากภายนอกที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ 
ภูมิปัญญาของมนุษย์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
วิเคราะห์เปรียบเทียบผลงานของบุคคลสำคัญทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีผลกระทบ
ต่อเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ชาติไทยเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต




วิธีการและความสำคัญทางประวัติศาสตร์


วิธีการและความสำคัญทางประวัติศาสตร์


 เฮโรโดตัส Herodotus บิดาแห่งประวัติศาสตร์ ได้นำคำว่า ประวัติศาสตร์ history มาจากคำในภาษากรีกว่า historeo ที่แปลว่า การถักทอ มาเขียนเป็นชื่อเรื่องราวการทำสงครามระหว่างเปอร์เซียกับกรีก โดยใช้หลักฐานต่าง ๆ เป็นข้อมูล ในการเขียนเป็นเรื่องราว ซึ่งคล้ายกับการถักทอผืนผ้าให้เป็นลวดลายที่ต้องการ เฮโรโดตัส Herodotus จึงเป็น นักประวัติศาสตร์คนแรก ที่นำหลักฐานทางประวัติศาสตร์ มาศึกษาเพื่อเขียนเป็นเรื่องราว อย่างไรก็ตาม การศึกษาเหตุการณ์ในอดีต อาจมีผู้สงสัยว่ามีทางเป็นไปได้หรือไม่และจะศึกษากันอย่างไร เนื่องจากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วและ บางเหตุการณ์เกิดขึ้นมานานมาก จนสุดวิสัยที่คนปัจจุบันจะจำเรื่องราวหรือศึกษาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง นักประวัติศาสตร์ ได้อาศัยร่องรอยในอดีตเป็นข้อมูลในการอธิบายเรื่องราวต่าง ๆที่เกิดขึ้นในอดีต ร่องรอยที่ว่านี้เรียกว่า หลักฐานประวัติศาสตร์  

วิธีการทางประวัติศาสตร์
           การศึกษาประวัติศาสตร์ มีปัญหาที่สำคัญอยู่ประการหนึ่ง คือ อดีตที่มีการฟื้นหรือจำลองขึ้นมาใหม่นั้น มีความถูกต้องสมบูรณ์และเชื่อถือได้เพียงใด รวมทั้งหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ที่นำมาใช้ เป็นข้อมูลนั้น มีความสมบูรณ์มากน้อยเพียงใด เพราะเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มีอยู่มากมายเกินกว่าที่จะศึกษาหรือจดจำได้หมด แต่หลักฐานที่ใช้เป็นข้อมูลอาจมีเพียงบางส่วน
          ดังนั้น วิธีการทางประวัติศาสตร์จึงมีความสำคัญเพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ หรือผู้ที่จะเรียนรู้ประวัติศาสตร์จะได้นำไปใช้ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง ไม่ลำเอียง และเกิดความน่าเชื่อถือได้มากที่สุด
          ในการสืบค้น ค้นคว้าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ มีอยู่หลายวิธี เช่น จากหลักฐานทางวัตถุที่ขุดค้นพบ หลักฐานที่เป็นการบันทึกลายลักษณ์อักษร หลักฐานจากคำบอกเล่า ซึ่งการรวบรวมเรื่องราวต่างๆทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ เรียกว่า วิธีการทางประวัติศาสตร์
            วิธีการทางประวัติศาสตร์ คือ การรวบรวม พิจารณาไตร่ตรอง วิเคราะห์และตีความจากหลักฐานแล้วนำมาเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ เพื่ออธิบายเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในอดีต ว่าเหตุใดจึงเกิดขึ้น หรือเหตุการณ์ในอดีตนั้นได้เกิดและคลี่คลายอย่างไร ซึ่งเป็นความมุ่งหมายที่สำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์


ขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์


ขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์


ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดเป้าหมาย
          ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดเป้าหมาย เป็นขั้นตอนแรก นักประวัติศาสตร์ต้องมีจุดประสงค์ชัดเจนว่าจะศึกษาอะไร อดีตส่วนไหน สมัยอะไร และเพราะเหตุใด เป็นการตั้งคำถามที่ต้องการศึกษา นักประวัติศาสตร์ต้องอาศัยการอ่าน การสังเกต และควรต้องมีความรู้กว้างๆ ทางประวัติศาสตร์ในเรื่องนั้นๆมาก่อนบ้าง ซึ่งคำถามหลักที่นักประวัติศาสตร์ควรคำนึงอยู่ตลอดเวลาก็คือทำไมและเกิดขึ้นอย่างไร

ขั้นตอนที่ 2 การรวบรวมข้อมูล 
          หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ให้ข้อมูล มีทั้งหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร และหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร มีทั้งที่เป็นหลักฐานชั้นต้น(ปฐมภูมิ) และหลักฐานชั้นรอง(ทุติยภูมิ) 
          การรวบรวมข้อมูลนั้น หลักฐานชั้นต้นมีความสำคัญ และความน่าเชื่อถือมากกว่าหลักฐานชั้นรอง แต่หลักฐานชั้นรองอธิบายเรื่องราวให้เข้าใจได้ง่ายกว่าหลักฐานชั้นต้น
          ในการรวบรวมข้อมูลประเภทต่างๆดังกล่าวข้างต้น ควรเริ่มต้นจากหลักฐานชั้นรองแล้วจึงศึกษาหลักฐานชั้นต้น ถ้าเป็นหลักฐานประเภทไม่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ควรเริ่มต้นจากผลการศึกษาของนักวิชาการที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ก่อนไปศึกษาจากของจริงหรือสถานที่จริง

          การศึกษาประวัติศาสตร์ที่ดีควรใช้ข้อมูลหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าผู้ศึกษาต้องการศึกษาเรื่องอะไร ดังนั้นการรวบรวมข้อมูลที่ดีจะต้องจดบันทึกรายละเอียดต่างๆ ทั้งข้อมูลและแหล่งข้อมูลให้สมบูรณ์และถูกต้อง เพื่อการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ

ขั้นตอนที่ 3 การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
          วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร์ คือ การตรวจสอบหลักฐานและข้อมูลในหลักฐานเหล่านั้นว่า มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ประกอบด้วยการวิพากษ์หลักฐานและวิพากษ์ข้อมูลโดยขั้นตอนทั้งสองจะกระทำควบคู่กันไป เนื่องจากการตรวจสอบหลักฐานต้องพิจารณาจากเนื้อหา หรือข้อมูลภายในหลักฐานนั้น และในการวิพากษ์ข้อมูลก็ต้องอาศัยรูปลักษณะของหลักฐานภายนอกประกอบด้วยการวิพากษ์หลักฐานหรือวิพากษ์ภายนอก
          การวิพากษ์หลักฐาน (external criticism) คือ การพิจารณาตรวจสอบหลักฐานที่ได้คัดเลือกไว้แต่ละชิ้นว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงใด แต่เป็นเพียงการประเมินตัวหลักฐาน มิได้มุ่งที่ข้อมูลในหลักฐาน ดังนั้นขั้นตอนนี้เป็นการสกัดหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือออกไปการวิพากษ์ข้อมูลหรือวิพากษ์ภายใน

          การวิพากษ์ข้อมูล (internal criticism) คือ การพิจารณาเนื้อหาหรือความหมายที่แสดงออกในหลักฐาน เพื่อประเมินว่าน่าเชื่อถือเพียงใด โดยเน้นถึงความถูกต้อง คุณค่า ตลอดจนความหมายที่แท้จริง ซึ่งนับว่ามีความสำคัญต่อการประเมินหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร เพราะข้อมูลในเอกสารมีทั้งที่คลาดเคลื่อน และมีอคติของผู้บันทึกแฝงอยู่ หากนักประวัติศาสตร์ละเลยการวิพากษ์ข้อมูลผลที่ออกมาอาจจะผิดพลาดจากความเป็นจริง  

ขั้นตอนที่ 4 การตีความหลักฐาน 
          การตีความหลักฐาน หมายถึง การพิจารณาข้อมูลในหลักฐานว่าผู้สร้างหลักฐานมีเจตนาที่แท้จริงอย่างไร โดยดูจากลีลาการเขียนของผู้บันทึกและรูปร่างลักษณะโดยทั่วไปของประดิษฐกรรมต่างๆ เพื่อให้ได้ความหมายที่แท้จริงซึ่งอาจแอบแฟงโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม

          ในการตีความหลักฐาน นักประวัติศาสตร์จึงต้องพยายามจับความหมายจากสำนวนโวหาร ทัศนคติ ความเชื่อ ฯลฯ ของผู้เขียนและสังคมในยุคสมัยนั้นประกอบด้วย เพื่อทีจะได้ทราบว่าถ้อยความนั้นนอกจากจะหมายความตามตัวอักษรแล้ว ยังมีความหมายที่แท้จริงอะไรแฝงอยู่

ขั้นตอนที่ 5 การสังเคราะห์ข้อมูล
          ขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการทางประวัติศาสตร์ ซึ่งผู้ศึกษาค้นคว้าจะต้องเรียบเรียงเรื่อง หรือนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่เป็นการตอบหรืออธิบายความอยากรู้ ข้อสงสัยตลอดจนความรู้ใหม่ ความคิดใหม่ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้านั้น

          ในขั้นตอนนี้ ผู้ศึกษาจะต้องนำข้อมูลที่ผ่านการตีความมาวิเคราะห์ หรือแยกแยะเพื่อจัดแยกประเภทของเรื่อง โดยเรื่องเดียวกันควรจัดไว้ด้วยกัน รวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กัน เรื่องที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน จากนั้นจึงนำเรื่องทั้งหมดมาสังเคราะห์หรือรวมเข้าด้วยกัน คือ เป็นการจำลองภาพบุคคลหรือเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์และความต่อเนื่อง โดยอธิบายถึงสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และผล ทั้งนี้ผู้ศึกษาอาจนำเสนอเป็นเหตุการณ์พื้นฐาน หรือเป็นเหตุการณ์เชิงวิเคราะห์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการศึกษา

สรุปวิธีการทางประวัติศาสตร์

       วิธีการทางประวัติศาสตร์กับการศึกษาเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์

ขั้นตอนของวิธีการทางปประวัติศาสตร์

1. การกำหนดประเด็นปัญหา
          เป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาเรื่องราวในอดีตที่น่าสนใจ เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การค้นคว้าและสืบค้นข้อมูลต่างๆ

2. การรวบรวมหลักฐาน
          เป็นการสืบค้นข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่มีอยู่อย่างหลากหลายและแตกต่างกัน เพื่อให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวที่ต้องการศึกษาค้นคว้า

3. การวิเคราะห์ การตีความและการประเมินหลักฐาน
          เป็นการตรวจสอบหลักฐาน โดยเน้นวิเคราะห์และตีความเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับมากที่สุด

4. การสรุปและเชื่อมโยงข้อเท็จจริง
          เป็นการประมวลข้อมูลจากหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและได้ข้อเท็จจริงที่สมบูรณ์

5. การนำเสนิข้อเท็จจริงนำเสนอข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษามาเรียบเรียงและอธิบายอย่างสมเหตุสมผล 
          โดยจะต้องบอกที่มาของหลักฐานหรือแหล่งข้อมูลอย่างถูกต้องและเปิดเผย เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้


          สมัยรัตนโกสินทร์เป็นสมัยที่มีเหตุการณ์ต่อเนื่องมาจากอดีตมาถึงปัจจุบันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยก่อนหน้านี้ ย่อมส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน การศึกษาเหตุการณ์สำคัญ สามารถศึกษาจากหลักฐานที่เป็นเอกสารต่างๆ จำนวนมากเพื่อให้เข้าใจข้อมูลได้อย่างถูกต้องชัดเจน


หลักฐานประวัติศาสตร์


หลักฐานประวัติศาสตร์


หลักฐานประวัติศาสตร์
          นักประวัติศาสตร์ ชาวฝรั่งเศส ชื่อ มาร์ค บลอค Marc Block ได้ให้ความหมายเกี่ยวกับ หลักฐานประวัติศาสตร์ ว่า หลักฐานประวัติศาสตร์ คือร่องรอยพฤติกรรม การพูด การเขียน การประดิษฐ์คิดค้นการดำรงชีวิตของมนุษย์และสิ่งที่มีอยู่ภายในหลักฐานก็คือร่องรอย ความรู้สึกนึกคิด โลกทัศน์และจารีตประเพณีของมนุษย์ในอดีตที่อาจ ตกทอดถึงปัจจุบัน โดยมีร่องรอยอยู่ในธรรมชาติและวัฒนธรรมของมนุษย์

          สรุปว่า หลักฐานประวัติศาสตร์ หมายถึงร่องรอยการกระทำ การแสดง การพูด การเขียน การประดิษฐ์ สิ่งก่อสร้าง ร่องรอยการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ รวมทั้งความคิดอ่าน ความรู้สึก ประเพณีปฏิบัติของมนุษย์ในอดีต ที่ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ ในบริเวณที่มนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งกล่าวได้ว่า อะไรก็ตามที่มนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง ก็ใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ทั้งสิ้น


ประเภทหลักฐานประวัติศาสตร์

ประเภทหลักฐานประวัติศาสตร์


1. หลักฐานที่จำแนกตามความสำคัญ
    1.1 หลักฐานชั้นต้น
    1.2 หลักฐานชั้นรอง

2. หลักฐานที่ใช้อักษรเป็นตัวกำหนด
    2.1 หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร
    2.2 หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร

3. หลักฐานที่กำหนดตามจุดหมายของการผลิต
    3.1 หลักฐานที่มนุษย์ตั้งใจสร้างขึ้น
    3.2 หลักฐานที่มิได้เป็นผลผลิตที่มนุษย์สร้างหรือตั้งใจสร้าง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1.1 หลักฐานชั้นต้น primary sources

    หมายถึง คำบอกเล่าหรือบันทึกของผู้พบเห็นเหตุการณ์หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรง ได้แก่ บันทึกการเดินทาง จดหมายเหตุ จารึก รวมถึงสิ่งก่อสร้าง หลักฐานทางโบราณคดี โบราณสถาน โบราณวัตถุ เช่น โบสถ์ เจดีย์ วิหาร พระพุทธรูป รูปปั้น หม้อ ไห ฯลฯ

1.2 หลักฐานชั้นรอง secondary sources

     หมายถึง ผลงานที่เขียนขึ้น หรือเรียบเรียงขึ้นภายหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นแล้ว โดยอาศัยคำบอกเล่า หรือจากหลักฐานชั้นต้นต่างๆ ได้แก่ ตำนาน วิทยานิพนธ์ เป็นต้น

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2.1 หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร written sources

    หมายถึง หลักฐานที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้แก่ ศิลาจารึก พงศาวดาร ใบลาน จดหมายเหตุ วรรณกรรม ชีวประวัติ หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร รวมถึงการบันทึกไว้ตามสิ่งก่อสร้าง โบราณสถาน โบราณวัตถุ แผนที่ หลักฐานประเภทนี้จัดว่าเป็นหลักฐานสมัยประวัติศาสตร์

2.2 หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร

    หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งหมดที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ สิ่งก่อสร้าง โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปการแสดง คำบอกเล่า นาฏศิลป์ ตนตรี จิตรกรรม ฯลฯ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
3.1 หลักฐานที่มนุษย์ตั้งใจสร้างขึ้น artiface

    หมายถึง หลักฐานที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการดำรงชีวิต

3.2 หลักฐานที่มิได้เป็นผลผลิตที่มนุษย์สร้างหรือตั้งใจสร้าง

     หมายถึง วิธีการทางประวัติศาสตร์ กระบวนการสืบค้นเรื่องราวในอดีตของสังคมมนุษย์เริ่มต้นที่ความอยากรู้อยากเห็นของผู้ต้องการ ศึกษาและต้องการสอบสวนค้นคว้า หาคำตอบด้วยตนเอง จากร่องรอยที่คนในอดีตได้ทำไว้และตกทอดเหลือมาถึงปัจจุบัน


ช่วงเวลา ศักราช 


ช่วงเวลา ศักราช 


การนับและเทียบศักราชสากลและไทย          1. การนับศักราชสากลที่นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบันคือ คริสต์ศักราช ซึ่งเป็นศักราชของคริสต์ศาสนา เริ่มนับเมื่อพระเยซูประสูติ (25 ธันวาคม) หลัง พุทธศักราช 543 ปี ซึ่งพระเยซูเป็นศาสดาของคริสต์ศาสนา เริ่มนับเป็นคริสต์ศักราช 1 (ค.ศ.1) หรือ A.D.1 ย่อมาจากคำว่า “Anno Domini” การนับศักราช ก่อนที่พระเยซูประสูติ เรียกว่า before christ เขียนย่อ ๆ ว่า B.C. ตัวอย่าง 1,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เขียนว่า 1,000 B.C. หมายความว่า เป็นช่วงเวลา 1,000 ปี ก่อนพระเยซูประสูติ
          2. การนับศักราชไทย ที่ใช้กันปัจจุบัน คือพุทธศักราช ซึ่งเป็นศักราชของพระพุทธศาสนา คือ พ.ศ.1 หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน (วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6) แล้ว 1 ปี คือ ปีแรกนับเป็น พ.ศ.0 เมื่อครบ 1 ปี จึงเริ่มนับ พ.ศ.1
          นอกจากนับศักราชเป็นแบบ พ.ศ. แล้ว ในเมืองไทยยังมีการนับศักราชแบบอื่น ๆ ด้วย คือ รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) จุลศักราช (จ.ศ.) มหาศักราช (ม.ศ.) ฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.) มีเกณฑ์การเทียบดังนี้
การเทียบศักราช
ตัวอย่าง
ร.ศ. + 2324 = พ.ศ. พ.ศ. - 2324 = ร.ศ. ร.ศ.1+2324 = พ.ศ. 2325 ร.ศ. 227  = พ.ศ. 2551
จ.ศ. + 1181 = พ.ศ. พ.ศ. - 1181 = จ.ศ. จ.ศ.1+1181 = พ.ศ. 1182 จ.ศ.1370 = พ.ศ. 2551
ม.ศ. + 621   = พ.ศ. พ.ศ. - 621 = ม.ศ. ม.ศ.1+621 = พ.ศ. 622 ม.ศ.1930 = พ.ศ. 2551
ค.ศ. - 579   = ฮ.ศ. พ.ศ. - 1122 = ฮ.ศ. (ค.ศ. 2008 - 579)=(พ.ศ. 2551-1122) = ฮ.ศ.1429

          3. ฮิจญ์เราะหฺศักราช (ฮ.ศ.) เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 1165 เมื่อปีที่ท่านนบีมุฮัมมัด อพยพจากเมืองเมกกะ (มักกะหฺ) ไปยังเมืองเมดีนา (มะดีนะหฺ) โดย ฮ.ศ. 1 ตรงกับ พ.ศ. 1165 แต่การเทียบรอบปี ของ ฮ.ศ. กับ พ.ศ. มีความคลาดเคลื่อนไม่ตรงกัน โดยทุก ๆ 32 ปีครึ่ง ของ ฮ.ศ. จะเพิ่มขึ้น 1ปี เมื่อเทียบกับ พ.ศ. ปัจจุบัน ฮ.ศ. น้อยกว่า พ.ศ. 1122 ปีและน้อยกว่า ๕.ศ. 579 ปี   ฮิจญ์เราะหฺศักราช (ฮ.ศ.) นิยมใช้ในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม ชาวไทยมุสลิมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันใช้ฮิจญ์เราะหฺศักราชเพื่อประกอบศาสนกิจ โดยฟังประกาศจากสำนักจุฬาราชมนตรี
          4. จุลศักราช (จ.ศ.) เป็นการนับเดือนปีเป็นแบบทางจันทรคติ เริ่มนับ จ.ศ. 1 เมื่อปี พ.ศ. 1182 โดยนับเอาวันที่พระบุพโสระหัน สึกออกจากการเป็นพระมาเพื่อชิงราชบัลลังก์เป็นวันแรกของศักราช ในสมัยโบราณถือตามสุริยคติ (คัมภีร์สุริยยาตร) ใช้วันเถลิงศก (ปัจจุบันตกราว 16 เมษายน) เป็นวันปีใหม่ แต่ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดเกล้าให้ถือตามจันทรคติ คือใช้วันแรม 15 ค่ำ เดือน 4 ของทุกปีเป็นวันสิ้นปี 

การเรียกปีจุลศักราชมีดังนี้
ถ้าเลขตัวสุดท้ายของจุลศักราชลงท้ายด้วยเลข 1 เรียกว่า เอกศก เช่น วันอาทิตย์ ขึ้น 3 ค่ำเดือน 5 ปีกุนเอกศก จุลศักราช 1381 ตรงกับวันที่ 7 เดือนเมษายน ปีกุน พ.ศ. 2562 ค.ศ. 2019
ถ้าเลขตัวสุดท้ายของจุลศักราชลงท้ายด้วยเลข 2 เรียกว่า โทศก เช่น วันพุธ ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ปีชวดโทศก จุลศักราช 1382 ตรงกับ วันที่ 6 เดือนพฤษภาคม ปีชวด พ.ศ. 2563 ค.ศ. 2020
ถ้าเลขตัวสุดท้ายของจุลศักราชลงท้ายด้วยเลข 3 เรียกว่า ตรีศก เช่น วันศุกร์ แรม 10 ค่ำเดือน 10 ปีฉลูตรีศก จุลศักราช 1383ตรงกับ วันที่ 1 เดือนตุลาคม ปีฉลู พ.ศ. 2564 ค.ศ. 2021
ถ้าเลขตัวสุดท้ายของจุลศักราชลงท้ายด้วยเลข 4 เรียกว่า จัตวาศก เช่น วันจันทร์ ขึ้น 8 ค่ำเดือน 11ปีขาลจัตวาศก จุลศักราช 1384 ตรงกับวันที่ 3 เดือนตุลาคม ปีขาล พ.ศ. 2565 ค.ศ. 2022
ถ้าเลขตัวสุดท้ายของจุลศักราชลงท้ายด้วยเลข 5 เรียกว่า เบญจศก เช่น วันเสาร์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะเบญจศก จุลศักราช 1385 ตรงกับวันที่ 27 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566 ค.ศ. 2023
ถ้าเลขตัวสุดท้ายของจุลศักราชลงท้ายด้วยเลข 6 เรียกว่า ฉศก เช่น วันอาทิตย์ ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรงฉศก จุลศักราช 1386 ตรงกับวันที่ 15 เดือนกันยายน ปีมะโรง พ.ศ. 2567 ค.ศ. 2024
ถ้าเลขตัวสุดท้ายของจุลศักราชลงท้ายด้วยเลข 7 เรียกว่า สัปตศก เช่น วันพุธ ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเส็งสัปตศก จุลศักราช 1387 ตรงกับ วันที่ 28 เดือนพฤษภาคม ปีมะเส็ง พ.ศ. 2568 ค.ศ. 2025
ถ้าเลขตัวสุดท้ายของจุลศักราชลงท้ายด้วยเลข 8 เรียกว่า อัฐศก เช่น วันพฤหัส ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเมียอัฐศก จุลศักราช 1388ตรงกับ วันที่ 18 เดือนมิถุนายน ปีมะเมีย พ.ศ. 2569 ค.ศ. 2026
ถ้าเลขตัวสุดท้ายของจุลศักราชลงท้ายด้วยเลข 9 เรียกว่า นพศก เช่น วันศุกร์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 10 ปีมะแมนพศก จุลศักราช 1389 ตรงกับ วันที่ 10 เดือนกันยายน ปีมะแม พ.ศ. 2570 ค.ศ. 2027
ถ้าเลขตัวสุดท้ายของจุลศักราชลงท้ายด้วยเลข 0 เรียกว่า สัมฤทธิศก เช่น วันอังคาร ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีวอก สัมฤทธิศก จุลศักราช 1380 ตรงกับ วันที่ 30 เดือนพฤษภาคม ปีวอก พ.ศ. 2571 ค.ศ. 2028



การแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์

การแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์


          การศึกษาประวัติศาสตร์ ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาเรื่องราวการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์อาศัยอยู่บนโลกจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเราก็ไม่ทราบแน่ชัดว่า โลกเราเริ่มมีมนุษย์เกิดขึ้นเมื่อไร เพียงแต่สันนิษฐาน โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ โดยการสืบค้น วิเคราะห์ข้อมูลและหลักฐานต่าง ๆ แต่จะให้แม่นยำในเรื่องของระยะเวลา ก็ต้องเป็นการบันทึกเหตุการณ์ โดยมนุษย์เองซึ่งก็ต้องเป็นสมัยที่มนุษย์ มีการสื่อสารโดยใช้ตัวอักษรแล้ว แต่การศึกษาประวัติศาสตร์นั้นมิได้เริ่มศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ตั้งแต่มนุษย์เริ่มใช้ตัวอักษรในการสื่อสาร ฉะนั้นการคำนวณระยะเวลาเพื่อให้แม่นยำมากที่สุดต้องใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เช่นการสลายตัวของกัมมันตรังสี หรือการนำสารคาร์บอนจากหลักฐานที่ต้องการตรวจสอบ ไปตรวจวัดด้วยเครื่องไอโซโทป อายุของหลักฐานชิ้นนั้นก็จะปรากฏให้เราทราบ ซึ่งเป็นที่นิยมของนักประวัติศาสตร์เพื่อแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ก็เพื่อให้เราศึกษาประวัติศาสตร์ได้สะดวกและง่ายขึ้น ทำให้เราเข้าใจว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นในช่วง ระยะเวลาใด สามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ ที่ส่งผลตามมา นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดี ได้แบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์ ตามหลักฐาน โดยแบ่งออกเป็น 2 สมัยดังนี้

1. สมัยก่อนประวัติศาสตร์
2. สมัยประวัติศาสตร์
การแบ่งเป็น 2 สมัยแบบนี้ใช้ตัวอักษรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เป็นเหตุการณ์ก่อนที่มนุษย์จะมีตัวอักษรใช้ในการสื่อสาร สมัยประวัติศาสตร์มนุษย์มีตัวอักษรใช้ในการสื่อสารแล้ว 



การแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์แบบสากล


การแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์แบบสากล



1. ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร ์prehistory
          ประวัติศาสตร์ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์สมัยที่มนุษย์ ไม่มีตัวอักษรใช้ในการสื่อสาร การศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ในยุคนี้ ต้องศึกษาจากข้างของเครื่องใช้ เครื่องมือต่าง ๆ ของมนุษย์ที่ใช้ในการดำรงชีวิต โดยแบ่งเป็นสมัยต่าง ๆ ดังนี้

1.1 ยุคหิน  Stone Age ระยะเวลาประมาณ 500,000-4,000 ปีมาแล้ว
        1.1.1 ยุคหินเก่า Palaeolithic หรือ Old Stone Age ระยะเวลาประมาณ 500,000-4,000 ปีมาแล้ว
  1.1.2 ยุคหินกลาง Mesolithic หรือ Middle Stone Age  ระยะเวลาประมาณ 10,000-6,000 ปีมาแล้ว
  1.1.3 ยุคหินใหม่ Neolithic หรือ New Stone Age ระยะเวลาประมาณ 6,000-4,000 ปีมาแล้ว
1.2 ยุคโลหะ  Metal age ระยะเวลาประมาณ 4,000-1,500 ปีมาแล้ว
        1.2.1 ยุคทองแดง  Copper  5,000 BC - 2,500 BC
  1.2.2 ยุคสำริด Bronze  2,500 BC - 1,000 BC
  1.2.3 ยุคเหล็ก Iron 1,000 BC – 400 AD
2. ยุคสมัยประวัติศาสตร์ history
  2.1 ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ ระยะเวลาประมาณ 3,500 ปี ถึง พุทธศตวรรษที่ 10
  2.2 ประวัติศาสตร์สมัยกลาง ระยะเวลาประมาณ พุทธศตวรรษที่ 10 - 21
  2.3 ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ระยะเวลาประมาณ พุทธศตวรรษที่ 22- 24
  2.4 ประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน ระยะเวลา พุทธศตวรรษที่ 25



การแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์แบบไทย


การแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์แบบไทย



การแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์ไทย
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย ก็มีการแบ่งยุคคล้ายกับการแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์สากล โดยแบ่งออกเป็น
1. สมัยก่อนประวัติศาสตร์
2. สมัยประวัติศาสตร์

1. ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ prehistory
          ประวัติศาสตร์ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์สมัยที่มนุษย์ ไม่มีตัวอักษรใช้ในการสื่อสาร การศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ในยุคนี้ ต้องศึกษาจากข้างของเครื่องใช้ เครื่องมือต่าง ๆ ของมนุษย์ที่ใช้ในการดำรงชีวิต โดยแบ่งเป็นสมัยต่าง ๆ ดังนี้
 1.1 ยุคหิน  Stone Age ระยะเวลาประมาณ 500,000-4,000 ปีมาแล้ว
 1.1.1 ยุคหินเก่า Palaeolithic หรือ Old Stone Age ระยะเวลาประมาณ 500,000-4,000 ปีมาแล้ว
  1.1.2 ยุคหินกลาง  Mesolithic หรือ Middle Stone Age ระยะเวลาประมาณ 10,000-6,000 ปีมาแล้ว
  1.1.3 ยุคหินใหม่  Neolithic หรือ New Stone Age ระยะเวลาประมาณ 6,000-4,000 ปีมาแล้ว
1.2 ยุคโลหะ Metal age ระยะเวลาประมาณ 4,000-1,500 ปีมาแล้ว
 1.2.1 ยุคทองแดง Copper 5,000 BC - 2,500 BC
        1.2.2 ยุคสำริด Bronze 2,500 BC - 1,000 BC
        1.2.3 ยุคเหล็ก Iron 1,000 BC – 400 AD
2. ยุคสมัยประวัติศาสตร์ history
          การแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ในสมัยประวัติศาสตร์ของไทย ยึดตามประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ถือว่า ประมาณ พ.ศ. 800 เป็นช่วงเวลาสมัยประวัติศาสตร์ แต่โดยทั่วไปแบ่งตามระยะเวลาการใช้เมืองหลวงเรียกชื่อตามสมัย
2.1 ประวัติศาสตร์สมัยก่อนสุโขทัย ระยะเวลาประมาณ พ.ศ. 800 ปี ถึง พุทธศตวรรษที่ 18(พ.ศ.1792)
2.2 ประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัย ระยะเวลา ประมาณ พ.ศ. 1792 -2006
2.3 ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา ระยะเวลา พ.ศ. 1893 - 2310
2.4 ประวัติศาสตร์สมัยธนบุรี ระยะเวลา พ.ศ. 2310 - 2325
2.5 ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ ระยะเวลา พ.ศ. 2325 - ปัจจุบัน



สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช


สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช



สมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พ.ศ. 2310 – 2325
พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ เรียกอีกพระนามหนึ่งว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้น มีกล่าวไว้ในหนังสือ อภินิหารบรรพบุรุษว่า พระองค์ท่านเป็นบุตรชาวจีนนายอากรบ่อนเบี้ย ชื่อ นายไหฮอง  แซ่แต้ มารดาชื่อนางนกเอี้ยง (พระพันปีหลวง กรมพระเทพามาตย์)สมเด็จพระเจ้าตากสิน พระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ปีขาล จ.ศ. 1096 ตรงกับ วันที่ 17  เมษายน  2277 ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแต่เดิมมีบ้านเรือนอยู่ใกล้กับ บ้านของเจ้าพระยาจักรีในสมัยนั้น เจ้าพระยาจักรีได้ขอบุตรชายของนายไหฮองไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม นับตั้งแต่รับบุตรของนายไหฮองมาเลี้ยงไว้ เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาจักรีก็มั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยลาภยศเงินทองมากขึ้นกว่าแต่เดิมเป็นอย่างมาก จึงตั้งชื่อบุตรบุญธรรมว่า "สิน" พ.ศ. 2286 เมื่อเด็กชาย สิน อายุได้ 9 ปี เจ้าพระยาจักรีได้นำไปฝากเรียนหนังสือ ในสำนักของพระอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาสพ.ศ. 2290 อายุ 13 ปี ก็นำเข้าถวายตัวรับราชการเป็นมหาดเล็ก ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศพ.ศ. 2398 อายุ 21 ปี อุปสมบท อยู่ในสมณเพศ 3 พรรษา ได้ลาสิกขาบท ออกมารับราชการ ในตำแหน่งมหาดเล็กรายงาน ครั้นถึงสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาสอมรินทร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นหลวงยกบัตรเมืองตาก เมื่อเจ้าเมืองตากถึงแก่กรรม ก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาตากขึ้นครองเมืองตาก(ระแหง)พ.ศ. 2309 เมื่อพม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา พระยาตากได้ถูกเรียกเข้ามาช่วยราชการในกรุงศรีอยุธยา ทำการสู้รบกับพม่าได้ชัยชนะหลายครั้ง มีความดีความชอบ ได้เลื่อนยศขึ้นเป็น พระยาวชิรปราการ ว่าที่เจ้าเมืองกำแพงเพชร ระหว่างทำหน้าที่ป้องกันรักษาพระนครอยู่นั้น พระยาตากมีความเห็นว่า กรุงศรีอยุธยาคงเสียแก่พม่าแน่ จึงตัดสินใจ พาสมัครพรรคพวก หนีไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองจันทบูรณ์(จันทบุรี)พ.ศ. 2310 ยกทัพกลับมาตีกรุงธนบุรีและค่ายโพธิ์สามต้นได้ สามารถกอบกู้เอกราชได้ เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2310 ขณะนั้นมีพระชนมายุได้ 34 พรรษา ครองราชนาน 15 ปี มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 29 พระองค์ สวรรคตเมื่อ 6 เมษายน 2325 รวมพระชนมายุได้ 48 พรรษา



การปกครองสมัยกรุงธนบุรี


การปกครองสมัยกรุงธนบุรี


การปกครองในสมัยกรุงธนบุรียังคงมีรูปแบบเหมือนกับสมัยอยุธยาตอนปลาย พอสรุปได้ดังนี้ การปกครองส่วนกลาง หรือ การปกครองในราชธานีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดเปรียบเสมือนสมมุติเทพ มีเจ้าฟ้าอินทรพิทักษ์ดำรงดำแหน่งพระมหาอุปราช มีตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหารหรือสมุหพระกลาโหม มียศเป็นเจ้าพระยามหาเสนา และอัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือนหรือสมุหนายก(มหาไทย) มียศเป็นเจ้าพระยาจักรี เป็นหัวหน้าบังคับบัญชาเสนาบดีจตุสดมภ์ 4 กรมได้แก่1. กรมเมือง (นครบาล)        มีพระยายมราชเป็นผู้บังคับบัญชา ทำหน้าที่เกี่ยวกับการปกครองภายในเขตราชธานี การบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎรและการปราบโจรผู้ร้าย2. กรมวัง (ธรรมาธิกรณ์)      มีพระยาธรรมาเป็นผู้บังคับบัญชาทำหน้าที่เกี่ยวกับกิจการภายในราชสำนักและพิพากษาอรรถคดี3. กรมพระคลัง (โกษาธิบดี)  มีพระยาโกษาธดีเป็นผู้บังคับบัญชาทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับจ่ายเงินของแผ่นดิน และติดต่อ ทำการค้ากับต่างประเทศ   4. กรมนา (เกษตราธิการ)     มีพระยาพลเทพเป็นผู้บังคับบัญชาทำหน้าที่เกี่ยวกับเรือกสวนไร่นาและเสบียงอาหารตลอดจน ดูแลที่นาหลวง เก็บภาษีค่านา เก็บข้าวขึ้นฉางหลวงและพิจารณาคดีความเกี่ยวกับเรื่องโค กระบือ และที่นาการปกครองส่วนภูมิภาค หรือ การปกครองหัวเมืองการปกครองส่วนภูมิภาคแบ่งออกเป็น หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก หัวเมืองประเทศราชหัวเมืองชั้นใน จัดเป็นเมืองระดับชั้นจัตวา มีขุนนางชั้นผู้น้อยเป็นผู้ดูแลเมือง ไม่มีเจ้าเมือง ผู้ปกครองเมืองเรียกว่า ผู้รั้ง หรือ จ่าเมือง อำนาจในการปกครองขึ้นอยู่กับเสนาบดีจัตุสดมภ์ หัวเมืองชั้นในสมัยกรุงธนบุรี ได้แก่ พระประแดง นนทบุรี สามโคก(ปทุมธานี) หัวเมืองชั้นนอก หรือเมืองพระยามหานคร เป็นเมืองที่อยู่นอกเขตราชธานีออกไป กำหนดฐานะเป็นเมืองระดับชั้น เอก โท ตรี จัตวา ตามลำดับ หัวเมืองฝ่ายเหนือขึ้นอยู่กับอัครมหาเสนาบดีฝ่ายสมุหนายก ส่วนหัวเมืองฝ่ายใต้และหัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก ขึ้นอยู่กับกรมท่า(กรมพระคลัง) ถ้าเป็นเมืองชั้นเอก พระมหากษัตริย์ จะส่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ออกไปเป็นเจ้าเมือง ทำหน้าที่ดูแลต่างพระเนตรพระกรรณ หัวเมืองชั้นนอก ในสมัยกรุงธนบุรี ระดับเมืองชั้นเอก ได้แก่ พิษณุโลก จันทบูรณ์หัวเมืองชั้นนอก ในสมัยกรุงธนบุรี ระดับเมืองชั้นโท   ได้แก่ สวรรคโลก ระยอง เพชรบูรณ์หัวเมืองชั้นนอก ในสมัยกรุงธนบุรี ระดับเมืองชั้นตรี   ได้แก่ พิจิตร นครสวรรค์หัวเมืองชั้นนอก ในสมัยกรุงธนบุรี ระดับเมืองชั้นจัตวาได้แก่ ไชยบาดาล ชลบุรีหัวเมืองประเทศราช เป็นเมืองต่างชาติต่างภาษาที่อยู่ห่างไกลออกไปติดชายแดนประเทศอื่น มีกษัตริย์ปกครอง แต่ต้องได้รับการแต่งตั้งจากกรุงธนบุรี ประเทศเหล่านั้น ประมุขของแต่ละประเทศจัดการปกครองกันเอง แต่ต้องส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองและเครื่องราชบรรณาการมาให้ตามที่กำหนด หัวเมืองประเทศราช ในสมัยกรุงธนบุรี ได้แก่ เชียงใหม่ (ล้านนาไทย) ลาว (หลวงพระบาง,เวียงจันทน์, จำปาศักดิ์) กัมพูุชา (เขมร) และนครศรีธรรมราช



เศรษฐกิจในสมัยกรุงธนบุรี


เศรษฐกิจในสมัยกรุงธนบุรี



การแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจในสมัยกรุงธนบุรี1. ปัญหาความอดอยากของราษฎร2. การค้าระหว่างประเทศ3. การเก็บภาษีอากรปัญหาความอดอยากของราษฎรตอนปลายสมัยอยุธยาราษฎรไม่สะดวกในการประกอบอาชีพทำมาหากินไม่มีเวลาในการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ เนื่องจากมีศึกสงครามมาตั้งแต่ พ.ศ. 2309 พม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ จนกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ราษฎรถูกต้อนไปเป็นเชลยจำนวนมาก บางพวกก็หลบหนีภัยสงครามเข้าป่าก็มาก บางพวกก็หนีเข้าไปพึ่งชุมนุมต่าง ๆ หลังจากที่พระเจ้าตากสินกอบกู้เอกราชได้แล้ว ราษฎรเริ่มอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงธนบุรี โดยการที่พระเจ้าตากสินส่งผู้คนออกไปเกลี้ยกล่อมชักชวนให้เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองจะได้เป็นกำลังในการสร้างชาติ ปัญหาที่ตามมาก็คือ การขาดแคลนอาหารเครื่องอุปโภคบริโภค พระเจ้าตากสินต้องสละทรัพย์ส่วนพระองค์ ในการซื้อข้าวสาร อาหาร เสื้อผ้า แจกราษฎร นอกจากนี้พระเจ้าตากสินยังโปรดให้ทำนานอกฤดูกาลอีกเพื่อให้ได้ข้าวเพิ่มขึ้น ให้เพียงพอต่อความต้องการ และสะสมไว้เป็นเสบียงในการยกทัพไปทำสงคราม อาทิ ก่อนยกทัพไปปราบชุมนุมเจ้าพระฝางทรงมีรับสั่งให้ทำนาปรัง เพื่อเตรียมข้าวสารในการออกรบการค้าระหว่างประเทศในระยะแรกพระเจ้าตากสินทรงสละทรัพย์ส่วนพระองค์ ในการซื้อข้าวสารแจกราษฎร โดยให้ราคาสูง ทำให้ชาวต่างชาติที่ทราบข่าวก็นำสินค้าเข้ามาขายเป็นจำนวนมาก ทำให้สินค้าที่ชาวต่างชาตินำเข้ามาขายมีราคาถูกลง ตามหลักเศรษฐศาสตร์เรื่อง อุปสงค์และอุปทาน กล่าวคือประการที่หนึ่ง เมื่อพ่อค้าชาวต่างชาติทราบว่าสินค้าที่นำเข้ามาขาย ที่กรุงธนบุรี จำหน่ายได้ดีและได้ราคาสูง ชาวต่างชาติก็นำสินค้าลงเรือมาขายยังกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก สามารถบรรเทาความอดอยาก และการขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค ประการที่สอง เมื่อราษฎรที่หลบหนีอยู่ตามป่าทราบข่าว ว่าพระเจ้าตากสิน ซื้อข้าวปลาอาหารแจกราษฎร ต่างก็พากันออกจากป่าเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงธนบุรีเพิ่มขึ้น จะได้เป็นกำลังของชาติในการรวบรวมอาณาจักรต่อไปประการที่สาม เมื่อพ่อค้าแข่งขันกันนำสินค้าเข้ามาขายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เกินความต้องการของราษฎร ราคาสินค้าก็ถูกลงตามลำดับความเดือนร้อนของราษฎรก็หมดไป 
หลังจากบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ พระเจ้าตากสิน โปรดให้แต่งสำเภา ออกไปค้าขายยังประเทศจีน* เป็นส่วนใหญ่ และยังติดต่อขอซื้อทองแดงจากญี่ปุ่นการเก็บภาษีอากรหลังจากที่บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว รายได้ของรัฐ ที่เก็บจากราษฎรยังคงใช้อย่างอยุธยาตอนปลายดังนี้จังกอบ  หมายถึง ภาษีผ่านด่านเรียกเก็บจากผู้นำสินค้าเข้ามาขาย อากร   หมายถึง ภาษีที่เก็บจากราษฎรที่ประกอบอาชีพทุกชนิด ยกเว้นการค้าขาย ฤชา    หมายถึง ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากราษฎรที่ใช้บริการของรัฐเช่นการออกโฉนดที่ดิน ค่าปรับผู้แพ้คดี ส่วย    หมายถึง เงิน หรือ สิ่งของที่เก็บแทนการเกณฑ์แรงงานของราษฎรที่ต้องเข้าเวร



ศาสนาสมัยกรุงธนบุรี


ศาสนาสมัยกรุงธนบุรี


การฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในสมัยกรุงธนบุรีในระยะเวลา 15 ปี มีดังนี้
1. การจัดระเบียบสังฆมณฑล
2. การรวบรวมพระไตรปิฎก
3. การบูรณะและปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม
4. การอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานในราชอาณาจักร
        การจัดระเบียบสังฆมณฑล
หลังจากการสถาปนาราชธานีแล้ว ในปี พ.ศ. 2311ก็โปรดให้จัดระเบียบสังฆมณฑล โดยเสาะหาพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ นิมนต์มาประชุมกัน ณ วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตาราม) เพื่อเลือกตั้งพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ที่มีพรรษาและทรงคุณธรรม แล้วแต่งตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราช ประมุขฝ่ายสงฆ์ เพื่อจัดการปกครองในสังฆมณฑลต่อไป และโปรดแต่งตั้งพระเถระใหญ่น้อยตามลำดับสมณศักดิ์ แล้วนิมนต์ไปจำพรรษาตามวัดวาอารามต่าง ๆ ในกรุงธนบุรี ทำหน้าที่บังคับบัญชาพระสงฆ์และสามเณร ในวัดฝ่ายคันถธุระและวิปัสสนาธุระ
        การรวบรวมพระไตรปิฎก
หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกในคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 เมื่อ 7 เมษายน 2310 วัดวาอารามบ้านเมืองถูกพม่าเผา พระคัมภีร์ พระไตรปิฎก และตำราต่าง ๆ ก็ถูกเผาและสูญหายเป็นอันมาก หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสิน ได้สถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้ว ก็โปรดให้สืบเสาะแสวงหาพระไตรปิฎกตามหัวเมืองต่าง ๆ แล้วนำมาคัดลอกไว้เพื่อชำระพระไตรปิฎกต่อไป อาทิ ในครั้งเมื่อยกทัพไปปราบชุมนุมนครศรีธรรมราช ในปี พ.ศ. 2312 เมื่อเสร็จศึกแล้วก็โปรดให้ยืมพระไตรปิฎกจากนครศรีธรรมราชบรรทุกลงเรือเพื่อนำมาคัดลอกเก็บไว้  ณ กรุงธนบุรี และในครั้งที่ยกทัพไปปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง ในปี พ.ศ. 2313 ก็โปรดให้นำพระไตรปิฎกจากวัดมหาธาตุ เมืองฝาง อุตรดิตถ์ เพื่อใช้ในการสอบทานกับต้นฉบับที่ได้มาจากนครศรีธรรมราช แต่การรวบรวมพระไตรปิฎกยังไม่เรียบร้อยก็สิ้นรัชกาลเสียก่อน
        การบูรณะและปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม
โปรดให้บรรดาขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ราษฎร ร่วมกันสร้างพระอุโบสถ พระวิหาร เจดีย์ กุฏิ รวมหลายพระอาราม หมดพระราชทรัพย์เป็นจำนวนมากวัดที่โปรดให้บูรณะปฏิสังขรณ์มีดังนี้
วัดบางยี่เรือใต้(วัดอินทาราม)  วัดบางหว้าใหญ่(วัดระฆังโฆสิตาราม)  วัดแจ้ง((วัดอรุณราชวราราม)  วัดบางยี่เรือเหนือ(วัดราชคฤห์)  วัดหงส์อาวาส(วัดหงส์รัตนาราม)
วัดที่สำคัญในรัชกาลนี้คือ วัดอินทาราม(วัดบางยี่เรือใต้หรือวัดบางยี่เรือใต้) สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเอาใจใส่ ทั่วพระอาราม และโปรดให้ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษซึ่งเป็นวัดฝ่ายวิปัสสนาธุระ
วัดหงส์อาวาส บูรณะแล้วยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกฝ่ายการศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม
วัดแจ้ง เป็นวัดในเขตพุทธาวาส เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตพระราชฐาน จึงไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา เมื่อครั้งเสร็จศึกเวียงจันทน์ ได้อัญเชิญ พระแก้วมรกต มาประดิษฐาน ณ วัดแจ้งแห่งนี้ วัดนี้จึงเรียกว่าวัดพระแก้วในสมัยกรุงธนบุรี
         การอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานในราชอาณาจักร
พระแก้วมรกต หรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของไทย เดิมตามประวัติการพบครั้งแรก ณ เมืองเชียงราย ในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสิน โปรดให้ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปตีเวียงจันทน์ ได้ชัยชนะแล้วได้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบาง มายังกรุงธนบุรี โดยประดิษฐาน ณ วัดแจ้ง โดยมีพระราชดำริจะสร้างปราสาทถวายแต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน


ชนชั้นทางสังคมในสมัยกรุงธนบุรี


ชนชั้นทางสังคมในสมัยกรุงธนบุรี



ชนชั้นทางสังคมในสมัยกรุงธนบุรียังคงเหมือนกับสมัยกรุงศรีอยุธยา ดังนี้พระมหากษัตริย์และเจ้านายขุนนางหรือข้าราชการไพร่หรือราษฎรหรือสามัญชน ทาส
1. เจ้านาย  คือผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากพระมหากษัตริย์ แต่มิได้หมายความว่าผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากพระมหากษัตริย์ทุกคนจะเป็นเจ้านายหมด ลูกหลานของพระมหากษัตริย์จะถูกลดสกุลยศตามลำดับ และ ภายใน 5 ชั่วคน ลูกหลานของเจ้านายก็จะกลายเป็นสามัญชน ราชสกุลยศจะมีเพียง 5 ชั้นคือ เจ้าฟ้า เป็นชั้นสูงสุด เจ้าฟ้าคือ พระโอรส ธิดาของพระมหากษัตริย์อันประสูติจากอัครมเหสีพระองค์เจ้า คือ พระโอรส ธิดาของพระมหากษัตริย์อันประสูติแด่พระสนม หรือเป็นพระโอรส ธิดาของเจ้าฟ้าหม่อมเจ้า คือ พระโอรส ธิดา ของพระองค์เจ้าหม่อมราชวงศ์ คือ บุตรธิดาของหม่อมเจ้าหม่อมหลวง คือ บุตรธิดาของหม่อมราชวงศ์พอถึงชั้นหม่อมราชวงศ์และหม่อมหลวง ก็ถือว่าเป็นสามัญชนแล้วมิได้มีสิทธิพิเศษเช่นเจ้านายชั้นสูงแต่อย่างใดเพื่อเฉลิมพระเกียรติและตอบแทนเจ้านายที่ได้ทำความดีความชอบในราชการ พระมหากษัตริย์ จะทรงแต่งตั้งเจ้านายนั้น ๆ ให้ทรงกรม ซึ่งมีลำดับขั้นเหมือนกับยศของขุนนางดังนี้ชั้นสูงสุดคือ กรมพระยา กรมพระ กรมหลวง กรมขุน กรมหมื่น ตามลำดับเจ้านายชั้นเจ้าฟ้า ถ้าได้ทรงกรมจะเริ่มตั้งแต่ กรมขุน ขึ้นไป ตั้งแต่พระองค์เจ้าลงมาเมื่อได้ทรงกรม จะต้องเริ่มตั้งแต่ กรมหมื่น สิทธิพิเศษของเจ้านายคือ เมื่อเกิดมีคดี ศาลอื่น ๆ จะตัดสินไม่ได้นอกจากศาลกรมวัง และจะขายเจ้านายลงเป็นทาสไม่ได้ เจ้านายจะไม่ถูกเกณฑ์แรงงานด้วยประการใด ๆ2. ขุนนาง หรือ ข้าราชการ ยศของขุนนางเรียงลำดับจากขั้นสูงสุดลงไปดังนี้สมเด็จเจ้าพระยาเจ้าพระยาพระยาพระหลวงขุนหมื่นพันทนายพระมหากษัตริย์จะพระราชทานยศและเลื่อนยศ ให้ตามความดีความชอบ นอกจากยศแล้วพระมหากษัตริย์ยังพระราชทานราชทินนามต่อท้ายยศให้ขุนนางด้วย ราชทินนามจะเป็นเครื่องบอกหน้าที่ที่ได้ เช่น เจ้าพระยามหาเสนา พระยาจ่าแสนยากร มักจะเป็นขุนนางฝ่ายทหาร เจ้าพระยาจักรี พระยาธรรมา พระยาพลเทพ พระยาพระคลัง เป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน สิทธิพิเศษของขุนนางคือไม่โดยเกณฑ์แรงงานและสิทธินี้ครอบคลุมไปถึงผู้เป็นลูกด้วย ขุนนางที่มีศักดินาตั้งแต่ 400 ไร่ขึ้นไป มีสิทธิแต่งตั้งทนายว่าความให้ในศาล ได้เข้าเฝ้า และมีสิทธิ์มีไพร่อยู่ในสังกัดได้3. ไพร่ หรือ สามัญชน หมายถึง ผู้ชายที่มีอายุ 18 – 60 ปี ชายฉกรรจ์ที่เป็นสามัญชนจะต้องสักเลก เพื่อสังกัดเจ้านายหรือขุนนางคนใดคนหนึ่งซึ่งเรียกว่า มูลนาย หากผู้ใดขัดขืน มิยอมสังกัดมูลนาย หรือไปรายงานตัวเป็นไพร่ จะมีโทษและจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย เช่นไม่มีสิทธิ์ในการถือครองที่ดินทำกิน จะฟ้องร้องใครไม่ได้ ไพร่มี 3 ประเภทดังนี้3.1 ไพร่สม คือ ชายที่มีอายุ 18 – 20 ปี สังกัดมูลนายที่เป็นเจ้านายและขุนนางเพื่อให้ฝึกหัดใช้งาน3.2 ไพร่หลวง คือ ชายที่มีอายุ 20 – 60 ปี มีหน้าที่รับราชการแผ่นดิน ตามการเกณฑ์แรงงานตามสมัยแต่ถ้ามีลูกเข้าเกณฑ์แรงงานแทนตนถึง 3 คน ก็จะไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานให้ปลดออกจากราชการได้ก่อนอายุ 60 ปี3.3 ไพร่ส่วย คือ ชายที่มีอายุ 20 – 60 ปี ที่ไม่ประสงค์เข้ารับราชการ โดนเกณฑ์แรงงาน รัฐบาลอนุญาตให้นำเงินหรือสิ่งของมาชำระแทนแรงงานได้ เรียกเงินหรือสิ่งของที่ใช้แทนแรงงานว่า ส่วย หรือเงินค่าราชการ4. ทาส มีอยู่ 7 ประเภทดังนี้4.1 ทาสสินไถ่ คือ ทาสที่ขายตัวเองหรือถูกผู้อื่นขายให้แก่นายเงินต้องทำงานจนกว่าจะหาเงินมาไถ่ค่าตัวได้ จึงจะหลุดพ้นเป็นไท 4.2 ทาสในเรือนเบี้ย คือ ลูกของทาสที่เกิดมาในเวลาที่พ่อ แม่กำลังเป็นทาสอยู่4.3 ทาสได้มาแต่บิดามารดา คือ ลูกทาสที่ได้จากพ่อหรือแม่ของเด็กที่เป็นทาส 4.4 ทาสท่านให้ คือ ทาสที่เดิมเป็นของผู้หนึ่งแล้วถูกยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของอีกผู้หนึ่ง 4.5 ทาสที่ช่วยมาจากทัณฑโทษ คือ ผู้ที่ถูกต้องโทษต้องเสียค่าปรับแต่ไม่มีเงินให้ แล้วมีนายเงินเอาเงินมาใช้แทนให้ ผู้ต้องโทษก็ต้องเป็นทาสของนายเงิน 4.6 ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย คือ ในเวลามีภัยธรรมชาติทำให้ข้าวยากหมากแพง ไพร่บางคน อดอยากไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ต้องอาศัยมูลนายกิน ในที่สุดก็ต้องยอมเป็นทาสของมูลนายนั้น 4.7 ทาสเชลยคือ ทาสที่ได้มาจากการรบทัพจับศึกหรือการทำสงคราม เมื่อได้ชัยชนะจะต้อน ผู้แพ้สงครามมาเป็นทาส


กวีและวรรณกรรมในสมัยกรุงธนบุรี


กวีและวรรณกรรมในสมัยกรุงธนบุรี

        ความหมายของวรรณคดี คำว่า วรรณคดี ตามรูปศัพท์ มีคำรวมกันอยู่สองคำคือ วรรณ และ คดี คำว่า วรรณ แปลว่า หนังสือ สี ผิว เพศ ชนิด ตัวอักษร ส่วนคำว่า คดีในภาษาบาลี แปลว่า เรื่อง ความ รวมคำว่า วรรณคดี แปลตามอักษรว่าทางหนังสือ แต่ไม่รวมถึงหนังสือตำราวิชาการ หรือตำราอื่น ๆ ความหมายของวรรณคดี ต่อไปนี้หมายถึง บทประพันธ์อันประกอบด้วยศิลปะแห่งการนิพนธ์และมีเนื้อเรื่องอันมีอำนาจดลใจให้เกิดความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ต่าง ๆ มิใช่เป็นเรื่องที่ให้ความรู้อย่างเดียว

กวีวรรณกรรมในสมัยกรุงธนบุรี

สมเด็จพระเจ้าตากสิน บทละครเรื่องรามเกียรติ์
หลวงสรวิชิต ( หน ) ลิลิตเพชรมงกุฎ อิเหนาคำฉันท์
นายสวน มหาดเล็ก โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี
พระยามหานุภาพ  นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน ( นิราศกวางตุ้ง )

พระภิกษุอิน เมืองนครศรีธรรมราช คำฉันท์กฤษณาสอนน้อง


ความสัมพันธ์กับต่างประเทศสมัยกรุงธนบุรี


ความสัมพันธ์กับต่างประเทศสมัยกรุงธนบุรี

     ความสัมพันธ์กับจีน
ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการค้าขายกับจีน ในสมัยกรุงธนบุรี ปรากฎว่ามีสำเภาของพ่อค้าจีน เข้ามาติดต่อค้าขายตลอดรัชกาลและทางไทยก็ได้เอาใจใส่ในการทะนุบำรุงการค้าขายทางเรือนี้อย่างมาก สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงส่งสำเภาหลวงออกไปทำการติดต่อค้าขายกับเมืองจีนอยู่เสมอ จึงบับว่าจีนเป็นชาติที่สำคัญที่สุดที่เราติดต่อทางการค้าด้วย ในสมัยกรุงธนบุรี 
ในปี พ.ศ. 2324 สมเด็จพระเจ้าตากสินก็ได้ทรงส่งคณะทูตชุดหนึ่ง มีเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช เป็นหัวหน้าคณะออกไปเจริญทางพระราชไมตรีกับพระเจ้ากรุงจีน ในแผ่นดินพระเจ้าเกาจงสุนฮ่องเต้ ( พระเจ้ากรุงต้าฉิ่ง ) ณ กรุงปักกิ่ง ทั้งนี้ก็เพื่อขอให้ทางจีนอำนวยความสะดวก ให้แก่ไทยในการจัดแต่งสำเภาหลวง บรรทุกสินค้าออกไปค้าขายที่เมืองจีนต่อไป โดยขอให้ยกเว้นค่าจังกอบและขอซื้อสิ่งของบางอย่าง เช่น อิฐ เพื่อนำมาใช้ในการสร้างพระนคร กับขอให้ทางจีนช่วยหาต้นหนสำเภา สำหรับจะแต่งเรือออกไปซื้อทองแดงที่ประเทศญี่ปุ่น เข้ามาใช้สร้างพระนครเช่นเดียวกัน ปรากฎว่าคณะทูตไทยที่ออกไปเจริญทางพระราชไมตรี กับพระเจ้ากรุงจีนครั้งนี้คุมเรือสำเภาบรรทุกสินค้าออกไปด้วยถึง 11 ลำ
ในพระราชสาส์น ที่สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงมีไปยังพระเจ้ากรุงต้าฉิ่ง ในครั้งนั้นปรากฎในจดหมายเหตุจีนว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงออกพระนามของพระองค์เองเป็นภาษาจีนว่า "แต้เจียว" มีคำเต็มว่า เสี้ยมหลอก๊กเจียงแต้เจียว

      ความสัมพันธ์กับโปรตุเกส
การค้าขายกับโปรตุเกส ปรากฎในจดหมายเหตุของบาทหลวงฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาอยู่ในกรุงธนบุรีครั้งนั้น มีความตอนหนึ่งว่า เมื่อเดือนกันยายน  พ.ศ. 2322 มีเรือแขกมัวร์จากเมืองสุรัต ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส เข้ามาค้าขาย ณ กรุงธนบุรีด้วยและว่า ที่ภูเก็ตเวลานั้นมีพวกโปรตุเกสครึ่งชาติอยู่ 2-3 คน อยู่ในความปกครองของบาทหลวงฟรังซิสแกงของโปรตุเกส จึงแสดงว่า ในสมัยกรุงธนบุรีนั้นเราได้มีการติดต่อค้าขายสมาคมกับชาวโปรตุเกสอยู่บ้าง โดยทางเราได้เคยส่งสำเภาหลวงออกไปค้าขายยังประเทศอินเดียจนถึงเขตเมืองกัว เมืองสุรัต อันเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสอยู่ในครั้งนั้นด้วยเหมือนกัน แต่ทว่าในตอนนั้นยังมิได้ถึงกับมีการส่งทูตเข้ามาหรือออกไปเจริญทางพระราชไมตรีอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด

       ความสัมพันธ์กับอังกฤษ
ในตอนปลายสมัยกรุงธนบุรี บรรดาฝรั่งชาติต่าง ๆ ที่เดินทางเข้ามาค้ายขายในเอเชีย มีการแย่งชิงอำนาจกัน ทางการค้าเป็นอันมาก ด้วยเหตุนี้ อังกฤษจึงมีความประสงค์ที่จะได้สถานที่ตั้งสำหรับทำการค้าขาย แข่งกับพวกฮอลันดา ทางด้านแหลมมลายูสักแห่งหนึ่ง อังกฤษเห็นว่าเกาะหมาก (ปีนัง) มีความเหมาะสม จึงได้พยายามเจรจาเกลี้ยกล่อมกับพระยาไทรบุรี ผู้มีอำนาจปกครองเกาะนี้อยู่เพื่อจะขอเช่า ในปี พ.ศ. 2319 กะปิตันเหล็ก (ฟรานซิสไลท์) เจ้าเมืองเกาะหมาก ได้ส่งปืนนกสับเข้ามาถวายสมเด็จพระเจ้าตากสิน จำนวน 1,400 กระบอก พร้อมด้วยสิ่งของเครื่องราชบรรณาการต่าง ๆ

       ความสัมพันธ์กับพม่า
ส่วนใหญ่ไทยกับพม่าจะทำสงครามกันเกือบตลอดรัชกาลในสมัยกรุงธนบุรีดังนี้
          พ.ศ. 2310    รบกับพม่าค่ายโพธิ์สามต้นพระเจ้าตากสิน กอบกู้เอกราช 
          พ.ศ. 2310    รบกับพม่าในศึกบางกุ้ง สมุทรสงคราม ไทยเป็นฝ่ายชนะ
          พ.ศ. 2314    ไทยยกทัพไปตีพม่า ที่เชียงใหม่ครั้งที่ แต่ไม่สามารถตีได้
          พ.ศ. 2315    พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ 1 กองทัพพม่าจากเชียงใหม่ยกมาตีเมืองพิชัย เจ้าพระยาสุรสีห์ฯ ยกทัพไปช่วย พม่าเป็นฝ่ายแพ้
          พ.ศ. 2316    พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ 2 เกิดวีรกรรมของพระยาพิชัยดาบหัก พม่าแพ้สงคราม
          พ.ศ. 2317    ไทยตีเชียงใหม่ครั้งที่ 2 ได้หัวเมืองลานนาเป็นเมืองขึ้นของไทยทั้งหมด พม่าหนีจากเชียงใหม่ไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองเชียงแสน
          พ.ศ. 2317    ไทยรบพม่า (ศึกบางแก้ว ) ราชบุรี ไทยเป็นฝ่ายชนะ
          พ.ศ. 2318    พม่า ให้โปสุพลาและโปมะยุง่วนตีเชียงใหม่คืนแต่ไม่สำเร็จ
          พ.ศ. 2318    เกิดศึกอะแซหวุ่นกี้ ศึกหนักที่สุดในสมัยกรุงธนบุรี ไทยต้องยอมทิ้งเมืองพิษณุโลก
          พ.ศ. 2319    สงครามป้องกันเมืองเชียงใหม่ โดยพระเจ้าจิงกูจา กษัตริย์พม่าส่งกองทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ 
          พระยาวิเชียรปราการ (เจ้าเมืองเชียงใหม่)ทิ้งเมืองหนีมากรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินโปรด ให้เจ้าพระยาสุรสีห์ฯยกทัพไปสมทบกับพระยากาวิละ เจ้าเมืองลำปาง ตีเชียงใหม่กลับคืนมาได้ แต่ไทยทิ้งเชียงใหม่เป็นเมืองร้าง นาน 15 ปี

       ความสัมพันธ์กับลาว
พ.ศ. 2319 ไทยตีเมืองจำปาศักดิ์ สาเหตุเพราะเจ้าเมืองนางรอง ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของนครราชสีมาเอาใจออกห่าง โดยเอาเมืองนางรองไปขึ้นกับ เจ้าโอ แห่งเมืองจำปาศักดิ์ พระเจ้าตากสิน ถือว่าเป็นการนำดินแดนของไทยไปให้กับลาว 
จึงโปรดให้เจ้าพระยาจักรี(ทองด้วง) เป็นแม่ทัพยกไปปราบ เจ้าพระยาจักรีทราบว่า เจ้าโอแห่งนครจำปาศักดิ์ เตรียมยกทัพมาช่วยเหลือเมืองนางรอง จึงขอกองทัพหลวงมาช่วย พระเจ้าตากสิน โปรดให้เจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพไปช่วย สามารถตีเมืองจำปาศักดิ์ได้ 
เจ้าโอสู้ไม่ได้หนีไปอยู่เมืองสีทันดร ส่วนเจ้าอิน อุปราชหนีไปอยู่เมืองอัตปือ ไทยสามารถจับตัวได้ทั้งสองคนแล้วประหารชีวิตเสีย จากชัยชนะในครั้งนี้ทำให้ไทยได้ดินแดนเพิ่มขึ้นอีกหลายเมือง อาทิ เมืองนางรอง เขมรป่าดง (แถบเมืองสุรินทร์ สังขะ ขุขันธ์) และเมืองจำปาศักดิ์ พระเจ้าตากสินจึงโปรดให้เจ้าพระยาจักรี(ทองด้วง) เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น "สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิลึกมหึมา ทุกนคราระอาเดช นเรศวรราชสุริยวงศ์      
พ.ศ. 2321  ไทยตีเมืองเวียงจันทน์สาเหตุมาจากเสนาบดีเมืองเวียงจันทน์ชื่อพระวอ ทะเลาะกับเจ้าสิริบุญสาร เจ้าเมืองเวียงจันทน์ พระวอสู้ไม่ได้จึงหนีมาอยู่ที่เมืองจำปาศักดิ์ ภายหลังได้เข้ามาอยู่ ณ ตำบลดอนมดแดง เมืองอุบลราชธานี และขอสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าตากสิน เมื่อเจ้าสิริบุญสารทราบข่าว ได้สั่งให้พระยาสุโพ มาจับพระวอฆ่าเสีย พระเจ้าตากสินเห็นว่า ลาวได้ละเมิดอธิปไตยของไทย จึงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ และเจ้าพระยาสุรสีห์ฯ ยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ ขณะที่ไทยล้อมเมืองเวียงจันทน์อยู เจ้าร่มขาว แห่งหลวงพระบางได้มาสวามิภักดิ์ ช่วยไทยตีเมืองเวียงจันทน์นาน 4 เดือนจึงสำเร็จ ไทยจึงได้เมืองเวียงจ้นทน์และหลวงพระบาง เป็นประเทศราช เสร็จจากสงครามในครั้งนี้ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ ได้อัญเชิญ พระแก้วมรกต มาประดิษฐาน ณ วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) หรือวัดพระแก้วในสมัยกรุงธนบุรี 

       ความสัมพันธ์กับเขมร 
พ.ศ. 2312เมื่อพระเจ้าตากสินสามารถกอบกู้เอกราชได้แล้ว หลังจากปราบชุมนุมเจ้าพิมายได้แล้ว พระเจ้าตากสินได้ทรงแจ้งให้ทางเขมรกลับมาสวามิภักดิ์ตามเดิมแต่เขมรปฏิเสธ พระเจ้าตากสินจึงโปรดให้ พระยาอภัยรณฤทธิ์(ทองด้วง) กับ พระยาอนุชิตราชา(บุญมา) เป็นแม่ทัพไปตีเขมร สามารถตีได้เมืองเสียมราฐและพระตะบองสองเมือง ก็ยกทัพกลับเพราะได้ทราบข่าวว่าพระเจ้าตากสินสวรรคต ณ เมืองนครศรีธรรมราช แต่เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น 
พ.ศ. 2314เนื่องจากเขมรชอบซ้ำเติมไทย เมื่อไทยมีศึกสงครามทางด้านอื่นเขมรถือโอกาสยกทัพมาตีเมืองตราดและจันทบุรี แต่ไทยสามารถป้องกันไว้ได้ หลังจากไทยเสร็จศึกจากเชียงใหม่ พ.ศ. 2314 พระเจ้าตากสิน ทรงไม่พอพระทัย เขมรเป็นอย่างมาก จึงโปรดให้เจ้าพระยาจักรี(ทองด้วง)เป็นแม่ทัพบก ส่วนกองทัพเรือ โปรดให้พระยาโกษาธิบดีเป็นทัพหน้า พระองค์เองเป็นทัพหลวงยกไปตีเขมรตีได้หลายเมืองรวมทั้ง เมืองบันทายเพชร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเขมรในเวลานั้น ในที่สุดเขมรก็ตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงธนบุรี ไทยแต่งตั้งให้นักองนนท์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระรามราชาครองกรุงกัมพูชา โปรดให้ นักองธรรม เป็น อุปราช และแต่งตั้งนักองตน เป็น อุปโยราชหลังจากที่กลับมาสวามิภักดิ์ต่อไทยซึ่งแต่เดิม นักองตนเป็นกษัตริย์ครองกรุงกัมพูชามีพระนามว่า สมเด็จพระนารายณ์ราชา แต่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับนักองนนท์ นักองตน (สมเด็จพระนารายณ์ราชา) ไปขอกำลังจากญวนมาช่วย นักองนนท์สู้ไม่ได้จึงหนีมาไทย เมื่อไทยตีเขมรได้จึงแจ่งตั้ง นักองนนท์ขึ้นเป็นกษัตริย์ นามว่า สมเด็จพระรามราชา
พ.ศ. 2324 ตอนปลายรัชกาล ในปี พ.ศ. 2323 เขมรเกิดจลาจล นักองธรรม พระมหาอุปราช ถูกลอบฆ่า และ นักองตน พระมหาอุปโยราช ก็สิ้นชีพอีก บรรดาขุนนางของเขมรที่เป็นพรรคพวกของ นักองตน เข้าใจว่า การตายของนักองธรรมและนักองตน ผู้บงการให้ฆ่าคือสมเด็จพระรามราชา ขุนนางเขมรจึงก่อการกบฏขึ้น โดยจับสมเด็จพระรามราชา ถ่วงน้ำ แล้วอัญเชิญให้ นักองเอง โอรสของ นักองตน (สมเด็จพระนารายณ์ราชา ) ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 4 พรรษาขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยมี ฟ้าทะละหะ(มู) ขุนนางผู้ใหญ่เป็นผู้สำเร็จราชการ โดยฟ้าทะละ(มู) ผู้นี้ฝักใฝ่ญวน ด้วยหวังพึ่งอิทธิพลของญวน สนับสนุนให้ตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงกัมพูชาต่อไปสมเด็จพระเจ้าตากสิน เห็นว่าถ้าปล่อยให้เหตุการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไป ไทยจะต้องสูญเสียเขมรไป 
ดังนั้น สมเด็จพระเจ้าตากสิน จึงโปรดให้ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ เป็นแม่ทัพใหญ่ เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช เป็นทัพหน้า และ เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์เป็นกองหนุน ยกไปตีเขมร ถ้าตีได้ ทรงมีรับสั่ง สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ ให้สถาปนา เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ เป็นกษัตริย์ครองกรุงกัมพูชาต่อไป 

แต่เกิดจลาจลในกรุงธนบุรีเสียก่อนอันเนื่องมาจากพระยาสรรค์เป็นกบฏ ไทยจึงไม่สามารถตีเขมรได้ ต้องยกทัพกลับมา ปราบยุกเข็ญในกรุงธนบุรีเสียก่อน เมื่อกลับมาถึงกรุงธนบุรี 6 เมษายน 2325 ได้สำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าตากสิน และเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ็ ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เป็นอันสิ้นสุดสมัยกรุงธนบุรี